Back to Thai Literature 

To Short Story main page

Some "sois" in Bangkok

บ้านเราอยู่ในนี้ซอยเดียวกัน
Our Houses Were Here, on the Same Lane

 โดย วานิช จรุงกิจอนันต์
(Wanich Jarungkidanan)

English version
by Brent Soderberg, Gary Risser, Paul Chambers, and Joe Orser

 

Click To Listen บ้านผมอยู่ในซอยเหมือนซอยอีก ห้าหมื่นหกพันซอยในกรุงเทพฯธนบุรีที่จอแจและคับแคบผมไม่รู้จักผู้คนในซอยนี้กี่คนนักเพราะไม่มีเวลามามั่วสุมหรือทำความรู้จักกับใครๆจะมีคนที่รู้จักก็เพียงแม่ค้าขายกับข้าวกับเจ้าของร้านกาแฟและร้านอาหารอีกร้านหนึ่งที่ผมกินข้าวเป็นประจำ  
My house was on a lane like the fifty-six thousand other congested, cramped lanes in Bangkok-Thonburi. I didn't really know anyone on this lane because there was no time to get to know anyone. The only people I was familiar with would be the rice vendor, the owner of a coffee shop and the owner of one other restaurant that I always ate at.

 

sp.gif (491 bytes)ก็เพียงแต่รู้จักหน้าตากันมีผมฝ่ายเดียวที่รู้จักชื่อพวกเขาและก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปบอกกับพวกเขาว่าผมชื่อนั้นชื่อนี้

They only knew my face.   Only I knew their names. There was no reason that they should be familiar with my name, and there was no reason that I should go tell them what my name was.
sp.gif (491 bytes)ที่นี่ก็เหมือนซอยอื่นๆคือมีจิ๊กโก๋เจี๊ยวจ๊าวประจำตรอก มีพวกเกเรสัพเพเหระที่วันๆเอาแต่นั่งร้านกาแฟรอให้ถึงวันเสาร์อาทิตย์เพื่อจะได้มีที่ไป คือไปสนามม้าและเพื่อที่จะกลับมาฟูมฟายเพราะหมดตัวในตอนค่ำและเพื่ออีกที....
เพื่อที่จะออกหาทางที่จะได้เงินมาให้ควั่กในตอนกลางคืน
Here it's like all the other lanes. There were always greasers in the alleys, hoodlums that every day sat in the coffee shop until Saturday and Sunday so they had somewhere to go, like horse-racing. Then they came back grumbling because they were broke in the evening and then again...head out looking for a way to get some money to blow in the middle of the night.
sp.gif (491 bytes)ในซอยนี้มีทั้งผู้ค้าและผู้ติดยาเสพติดทั้งที่ติดยาแก้ปวด กัญชา ยาฝิ่น จนกระทั่งติดกลิ่นทินเน่อร์ที่นี่มีทั้งขุนโจรและกระจอกโจรและสารพัดของผู้ชำนาญวิชาชีพโจรจากการที่นั่งร้านกาแฟบ่อยๆทำให้ผมทราบว่าถ้าผมคิดจะเอาดีในทางมิจฉาชีพนี้แล้ว สิ่งที่ผมควรจะลงทุนที่สุดคือการตั้งตัวเป็นเอเยนต์โจรในซอยนี้  เพราะที่นี่เต็มไปด้วยผู้ชำนาญพิเศษในแต่ละสาขาโจร ไม่ว่าจะเป็นงัดรถ งัดบ้านย่องเบาและย่องหนัก คือขนหนัก ขนจนเหี้ยน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตีรันฟันแทงหรือปล้นฆ่า ผมเคยเห็นจิ๊กโก๋พลัดถิ่นสองคนโดนตีเสียเละปางตายที่หน้าร้านกาแฟ On this lane there were drug dealers and junkies, from those addicted to painkillers, marijuana, opium all the way to those who sniffed paint thinner. Here there were big-time gangsters and petty thieves and everything for those skilled in the life of crime. From my usual seat at the coffee shop I'd thought that if I aspired to make it good at this illegal way of life, the thing I would invest most in would be to set myself up as an agent for robbers on this lane because this place was full of experts in every branch of robbery, no matter if it was breaking into cars or  houses and carrying off everything,no matter if it's stabbing someone or robbing and killing them. I'd seen two lost greasers beaten to a pulp, almost to death in front of the coffee shop.
sp.gif (491 bytes)ซอยอันจ้อกแจ้กในตอนกลางวันนี้จะเปลี่ยนเป็นเปลี่ยนอย่างน่ากลัว ในตอนกลางคืน เพราะมีเพียงช่วงแรกของซอยเท่านั้นที่เป็นตักแถวและมีร้านค้า เมื่อพ้นสะพานไม้ข้ามคูไปแล้วก็จะเป็นบ้านคนสลับกับพงหญ้ารกและมีที่อยู่อาศัยซึ่งไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นบ้าน อยู่ระเกะระกะทั่วไปซอยนี้เป็นแหล่งสลัมใหญ่อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ This lane which was so noisy during the middle of the day became frighteningly deserted at night, because only the first section of the lane had buildings and shops. When you got off the wooden bridge that crossed the canal, there were people's houses alternating with thickets of grass - and dwellings that almost couldn't be called houses - scattered all about. This lane was another big slum in Bangkok.
sp.gif (491 bytes) ทางเดินในซอยนี้วกวนมีซอกเล็กซอยน้อยที่จะลัดเลี้ยวไปออกถนนใหญ่ได้สามทาง บริเวณที่ใกล้ถนนใหญ่จะมีบ้านเรือนหนาตา เมื่อห่างถนนเข้ามาก็จะเป็นโลก อีกโลกหนึ่งมีทั้งสะพานไม้แผ่นเดียว เลาะเลี้ยวและทางปูนแคบๆ The path of the lane was winding and narrow, breaking off into three parts from the main road. Areas near the road were crowded with homes. When you left the road, you entered an entirely different world with a single-plank wooden bridge skirting the edge and a narrow cement path.
sp.gif (491 bytes)คูน้ำใหญ่อันรกไปด้วยพงหญ้าและเศษขยะแห่งนั้นมีสะพานไม้แข็งแรงทอดข้าม เป็นทางสัญจรสำคัญของผู้คนที่อยู่ในซอยลึก เมื่อลงจากสะพานไม้แห่งนี้เลี้ยวซ้ายไปขนานกับคูน้ำ อีกประมาณสองร้อยเมตรเป็นบ้านที่ผมและพี่ชายเช่าอยู่ ถ้าเดินตรงออกไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงปากซอยซึ่งเป็นถนนใหญ่และมีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน The large dirty ditch was full of grass and trash. There was a sturdy wooden bridge crossing over it. This was an important thoroughfare for the people deep into the lane. When you came down from this wooden bridge and turned left, went parallel to the ditch for about two hundred meters -  there was the house that my older brother and I rented. If you walked straight ahead about another five hundred meters, you'd get to the mouth of the lane and the main road and lots of busses that ran past there.
sp.gif (491 bytes)ผู้หญิงน้อยคนเต็มทีที่จะกล้าใช้ซอยนี้คนเดียวในตอนกลางคืน การปล้นจี้และการลวนลามผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ ทางปูนที่สร้างมารับสะพานไม้แห่งนี้กว้างไม่ถึงสองเมตร แตกแขนงออกไปเป็นซอยเล็กซอยน้อยทั้งที่เป็นสะพานไม้และเป็นทางเดิน ดินลูกรังเล็กๆที่มีหญ้าสูงท่วมหัว บางตอนเป็นกองขยะเหม็นคลุ้งหลายหนที่ผมรู้สึกแปลกใจที่ซอยนี้อยู่ใจกลางของกรุงเทพมหานครเพราะเพียงสิบกว่านาทีเมื่อเดินออกถึงถนนใหญ่กลับเต็มไปด้วยตึกรามโอ่อ่า ผมเคยถามเล่นๆกับพี่ชายว่ารู้ไหมกรุงเทพฯเป็นเมืองนรกหรือเมืองสวรรค์ A few women hopelessly dared to walk on the lane alone at night. Armed robberies and unwanted harassment of women were a common occurrence. The cement walkway built up to the wooden bridge wasn't quite two meters wide. It branched off to narrow paths, one to the wooden bridge and another dirt path that had grass taller than your head. Sometimes the odor of garbage wafted all over. I felt surprised that this street was in the heart of Bangkok because only a little more than ten minutes walk from the main road was filled with luxurious buildings. I'd joked with my brother, "Do you know if  Bangkok is the city of Hell or the city of Heaven?"
sp.gif (491 bytes)ผมและพี่ชายมาจากต่างจังหวัดพี่ชายผมทำงานแล้ว ส่วนผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย               
ผมไปมหาวิทยาลัยทุกวัน เว้นวันเสาร์ อาทิตย์
My brother and I came from the countryside. My brother already worked. I was studying in my last year at a university. I went to the university every day except for Saturday and Sunday.
sp.gif (491 bytes)ปากซอยเป็นคลอง มีสะพานคอนกรีตใหญ่ให้รถแล่นข้ามได้ ป้ายรถเมล์อยู่ตีนสะพาน อยู่ใต้ต้นหางนกยูงอันร่มรื่น ทุกเช้ามีคนมารอรถเมล์กันมากมาย ผมมารอรถที่ป้ายนี้ทุกเช้า The mouth of the lane was a canal with a large concrete bridge so cars can cross. A bus stop was at the foot of the bridge under the shade of a flame tree. Every morning many people came and waited for the bus. I waited for a bus at this stop every morning.
sp.gif (491 bytes)และเช้าวันหนึ่งผมก็พบเธอ And one morning I met her.
sp.gif (491 bytes)ผมอยู่ซอยนี้มานานกว่าสองปี ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย แม้ว่าซอยนี้จะมีผู้คนอยู่คับคั่ง แต่ผมก็จำหน้าคนที่เห็นรอรถเมล์ด้วยกันบ่อยๆได้เกือบทุกคน เธออาจเป็นคนที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ก็ได้ เพราะไม่คุ้นหน้าและไม่เคยเห็นเธอแถวนี้มาก่อน เธอแต่งชุดนักศึกษา ผมมองเข็มติดหน้าอกและหัวเข็มขัดของเธอไม่ถนัด ครั้นจะขยับเข้าไปดูให้ถนัดก็ใช่ที่ จนกระทั่งรถวิทยาลัยแห่งหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด แล้วเธอเป็นคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นรถนั่นแหละ ผมถึงรู้ว่าเธอเรียนอยู่วิทยาลัยแห่งนั้นอยู่ไกลจากที่นี่ไปมาก และอยู่คนละทางกับที่ผมเรียนอยู่ I'd lived on this lane for more than two years and had never seen her before. Even though this lane was crowded, I remembered almost all the faces of those who regularly waited for the busses. She probably just moved here, because I was not familiar with her face, and I'd never seen her before. She dressed like a student - I couldn't see her chest pin and belt pin well enough, and it wouldn't be polite to move closer. But then a college bus pulled up, and she was one of those who got on that bus, and I knew what school she went to. It's far from here and in a different direction from where I studied.
sp.gif (491 bytes)ผมไม่ควรสนใจเธอมากไปกว่านี้ ผมพยายามบอกตัวเองอย่างนั้น ประการแรกผมไม่ใช่คนที่อยากได้ใคร่มีแฟนเหมือนใครอื่นเขา เรียนมหาวิทยาลัยมาเกือบสี่ปีก็ไม่เคยมีแฟนและประการต่อมาไม่มีผู้หญิงที่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นคณะเดียวกันหรือต่างคณะจะมาชอบผม และถึงผมจะเคยเมียงๆใครอยู่บ้าง ความขี้อายบวกกับความขี้เกียจก็ไม่ช่วยให้ผมมีแฟนเหมือนใครเขาอื่น รูปไม่หล่อนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งละ ความไม่ช่างพูดและไม่ค่อยจะอยากร่วมกิจกรรมอะไรที่มีผู้หญิงเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไปเรียนก็เฮฮากับเพื่อนฝูงไปวันๆเตะตะกร้อ เข้าห้องสมุดฟังแลคเชอร์ ก็เท่านี้ I shouldn't have been interested in her more than this. I'd tried to tell myself that. In the first place, I was not one who'd ever wanted a girlfriend. Now,almost four years at the university,and I never had a girlfriend. And furthermore, there were no women at my university, either in my college or in another college, who liked me, and it's not like I'd ever glanced at anyone. My shyness combined with my lazyness didn't help me get girlfriends like others. I was not handsome; that's one part. My lack of skill at speaking and not wanting to go to events that had women there were another part. I went to school, laughed with my friends everyday, kicked the takraw, went to the library, listened to lectures, that's it.

sp.gif (491 bytes)แต่น่าแปลก ที่เพียงแต่เห็นเธอครั้งแรก ผมกลับนึกถึงหน้าเธออยู่ตลอดเวลา เหมือนกับว่าผมเคยเห็นและเคยชอบผู้หญิงหน้าตาแบบนี้ ผมถามตัวเองว่า เธอสวยหรือและตอบตัวเองได้ในทันทีว่า เธอสวยมาก รูปร่างสูงบาง ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมยาวเหยียดรวบเรียบไว้ด้านหลัง ตาโตจมูกสวย ปากก็หยักลึกสวย เออ....แน่ะผมจำหน้าเธอมาพรรณนาได้มากขนาดนี้เชียวหรือนี่ It's interesting that after seeing her only one time, I started to think of her face all the time, like I'd seen and liked a woman with a face like this before. I asked myself if she's beautiful, and answered myself immediately that she was very beautiful.  She was tall with smooth skin. Her hair, long and straight, was folded neatly in the back. Her eyes and nose were beautiful,her mouth had a beautiful dip,hmmm. . . I could remember her face well enough to be able to  describe it this much?
sp.gif (491 bytes)ผมพยายามไม่นึกถึงเธอ ผมเป็นคนไม่ค่อยจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ผมคิดว่าคิดไปก็เท่านั้น ฝันไปก็เท่านั้น ดูเถอะ....ผมฝันจนเหม่อ รถเมล์แล่นเลยไปสามสี่คันแล้ว I tried not to think of her. I wasn't the type of person that pursued this matters. I just thought that there was no point to thinking or dreaming about it. See? I dreamed myself into a stupor. Three buses had already passed on by.
sp.gif (491 bytes)ผมคงไปเรียนหนังสือตามปกติและไม่ได้พบเธออีกเลยจนหลายวันต่อมา เมื่อผมพบเธอเดินข้ามสะพานไม้ในเช้าวันหนึ่ง I still went to study as usual and had not come across her again until after some time, when I happened to see her crossing the wooden bridge one morning.
sp.gif (491 bytes)บ้านเธออยู่ในซอยลึกนี้เอง ผมรีรอจนกระทั่งเธอเดินขึ้นหน้าไป และเดินตามเธอไปห่างๆวันนี้เป็นวันหนึ่งที่ไม่บ่อยวันนักที่ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ปากซอยอย่างไม่เร่งรีบ ผมเดินมองข้างหลังของเธอไปตลอดทาง เว้นระยะห่างพอสมควร ไม่ให้ใครสังเกตได้เธอแต่งตัวเรียบร้อย เสื้อนักศึกษาขาวสะอาดรีดเรียบ กระโปรงแคบๆสีน้ำเงินยาวถึงกลางหัวเข่า มือขวาประคองหนังสือแนบตัว มือซ้ายถือผ้าเช็ดหน้าสีขาว Her home was also way back in this lane! I shuffled about until she walked ahead of me and then I followed at a distance. This was an unusual day in that for once I did not hurry to catch the bus. From an appropriate distance so as not to draw attention, I watched the backs of her legs. She dressed prim and proper in a neatly-ironed white school blouse and a narrow, navy blue skirt that reached to her mid-knees. Her right hand clutched her books to her chest. In her left, she held a white handkerchief.
sp.gif (491 bytes)หลังจากนั้นต่อมา ผมจึงสังเกตได้ว่าเธอจะถือผ้าเช็ดหน้าในมือทุกครั้ง และทุกครั้งจะเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาว After that day, I noticed that she carried a handkerchief every day, and it was always white.
sp.gif (491 bytes)ป้ายรถเมล์ที่ปากซอยอยู่ใต้หางนกยูงต้นใหญ่ขณะนี้เป็นเดือนมิถุนายน ดอกสีแดงของมันสวยสว่าง ผมชอบดอกสีแดงของหางนกยูง อาจเป็นเพราะผมเป็นคนชอบสีแดงก็ได้ ผมคิดว่าหางนกยูงเป็นดอกไม้ที่มีความงามและความสง่าในเวลาเดียวกัน ไม่เหมือนดอกตะแบกที่ดูบอบบางหรือลมแล้งที่ดูนิ่มนวลพริ้งพราย บางกิ่ง ช่อดอกสีแดงของมันไม่มีใบสีเขียวแทรกแซมเลย มันอวดความเข้มตัดกับสีฟ้าน่ามอง  

 

The bus stop is under a large flame tree and as it was June, its red blossoms were in brilliant full bloom. I liked the red flowers of a flame tree. Perhaps it was because I like red. I thought that a flame tree was both a beautiful and stately flower, unlike the frail tabaek flower or the delicate lom lang. No green tainted its display of red color. It just boasted its brilliance in contrast with the azure sky.

sp.gif (491 bytes)หางนกยูงให้ความมีชีวิตชีวาแก่ผม โดยเฉพาะวันอย่างนี้วันที่ได้ยืนแอบมองเธอคนนั้นอีก The flame tree flowers enlivened me, especially on a day like this when I watched her.
sp.gif (491 bytes)เธอยืนเงียบๆรอรถของทางวิทยาลัย ไม่ล่อกแล่กว่อกแว่กเหมือนผม แต่ก็หมายถึงผมในวันอื่นๆดอก ไม่ใช่วันนี้ เพราะผมยืนพิงต้นหางนกยูงสังเกตเธออยู่เงียบๆมีสมาธิ รถเมล์ที่จะพาผมไปสู่มหาวิทยาลัยผ่านไปคันแล้วคันเล่า แต่ผมมิได้สนใจจนกระทั่งรถวิทยาลัยของเธอเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท เมื่อเธอก้าวขึ้นรถไปแล้วนั่นแหละ ผมจึงรอรถเมล์คันของผมอย่างจิตใจอยู่กับเนื้อตัวมากขึ้น  

 

She stood quietly waiting for the bus to her college, not anxious or fidgety like me. I meant like me on other days. Not today, because I leaned against the flame tree watching her stand their quietly concentrating. The buses on my route to the university passed by one by one, but I wasn't interested until her bus pulled up to the sidewalk. It wasn't until after she boarded the bus and was on her way that I really focussed on watching for my bus.

sp.gif (491 bytes)ผมพยายามข่มจิตข่มใจตัวเองว่าอย่าฟุ้งซ่านเกี่ยวกับตัวเธอคนนั้นให้มากเกินไป เธออาจมีคนรักอยู่แล้วก็ได้เพราะผู้หญิงสวยอย่างเธอจะอยู่รอดปลอดโปร่งมาได้อย่างไร ผมคิดว่าผมปรามใจตัวเองได้ แต่ความจริงแล้วเปล่าเลย เพราะมินานและเหมือนมิตั้งใจ ผมก็เริ่มรู้เวลาออกจากบ้านของเธอ I tried to tell myself not to think about her too much. She might already have a lover, as it was unimaginable that a woman as beautiful as she could be without someone. I thought I could control myself, but in actuality I couldn't, because not long after that, and as if by coincidence, I began to know her schedule.
sp.gif (491 bytes) ปกติผมจะออกจากบ้านไปเรียนหนังสือตามสบายบางวันออกแต่เช้าบางวันออกสายและบางวันก็เลยไปถึงเที่ยง แต่หลังจากที่ออกจากบ้านแต่เช้าอยู่สองสามวันโดยมิได้ตั้งใจและพบเธอที่ป้ายรถเมล์ทุกครั้ง ผมก็เลยสังเกตได้ว่าเธอจะออกจากบ้านตอนประมาณเจ็ดโมงเช้าทีนี้ผมก็เลยออกจากบ้านแต่เช้าทุกวัน ออกมาก่อนเจ็ดโมงทำรีๆรอๆอยู่ที่หัวสะพานไม้ไผ่นาน ผมก็จะเห็นเธอเดินข้ามสะพานไม้ออกมาจากซอยลึกแคบนั้น Normally I would leave home for school when convenient. Some days I'd leave early, others I'd leave late and yet others I'd arrive at noon. After I left home early a couple of days, and purely by coincidence ran into her at the bus stop, I noticed that she left home at about seven. So I began to leave home early every day before seven and loitered around the foot of the wooden bridge. Not long and I would see her cross the bridge out of that long, narrow lane.
sp.gif (491 bytes)ผมจะมีเวลามองเธออีกพักหนึ่งที่ป้ายรถเมล์ เพราะรถของวิทยาลัยของเธอจะผ่านมาราวๆเจ็ดโมงสิบห้าถึงเจ็ดโมงครึ่ง I'd get another brief opportunity to watch her at the bus stop as the bus to her college arrived between a quarter after seven and seven thirty.
sp.gif (491 bytes)ผมจีบผู้หญิงไม่เป็น ต้องยอมรับไว้ตรงนี้เลยว่าผมจีบผู้หญิงไม่เป็น และไม่ประสีประสาเลย เมื่อเห็นเธอเดินข้ามสะพานไม้มาทุกครั้งที่ผมจะรีบเมินหน้าไปจากเธอทันที ไม่ให้เธอรู้สึกได้ว่าผมกำลังมองเธออยู่ บางวันผมทำเป็นฉุกคิดได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง แล้วทำทีรีบเดินกลับบ้าน พอเธอเดินเลยไปแล้วผมจึงย้อนกลับมาเดินตามหลังเธอหรือบางทีผมก็รีบจ้ำให้ถึงป้ายรถเมล์เร็วๆโดยไม่หันกลับมามองเธอที่เดินตามมาข้างหลังเลยไปรอมองดูเธอเดินมาสู่ป้ายรถเมล์ด้วยความอิ่มเอิบระทึกใจ I wasn't good at flirting. I have to admit that I was not skilled at flirting with women and was actually quite innocent. Each time when I saw her walk across the bridge, I quickly turned my head so she wouldn't know I was watching. Some days I would act as if I forgot something and hurried by her, back home. Once she passed, I would turn around and follow her. On other days, I would rush by her to the stop without a single glance back, but then would contentedly stand and watch her walking to the stop.

 

 

 

sp.gif (491 bytes) น่ากลัวผมจะรักเธอเข้าแล้วกระมัง ผมไม่เคยนึกถึง กังวลถึงผู้หญิงคนไหนอย่างนี้มาก่อนเลย I feared I was falling in love. I had never made such a fuss over any other woman.
sp.gif (491 bytes)จากอาทิตย์เป็นเดือน ระยะหลังพอเห็นเธอใจผมก็ระทึกสะท้านขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลมันเต้นตึ้กตั้ก....ตึ้กตั้ก คล้ายจะบอกว่านั่นยังไง มาแล้ว เธอมาแล้ว....บางครั้งผมโมโหใจตัวเองที่มันช่างเต้นได้เต้นดี เต้นจนผมหนวกหูและกลัวคนใกล้ๆจะได้ยินเสียง ผมเคย
ผลุนผลันขึ้นรถเมล์ให้พ้นๆมาเสีย เพื่อจะมารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มองเธอให้เต็มตาในวันนี้
A week stretched into a month. Each time I saw her my heart began to pound for no apparent reason. It thumped tum tum. . . tum tum as if to say "That's it. Here she comes. She's on her way." Sometimes I was angry with my heart because it beat so well. It beat so hard that I would cover my ears and I feared that those close by would hear. Once, I rushed on board the bus, but then regretted not catching a glimpse of her that day.
sp.gif (491 bytes)ผมปฏิบัติการแอบมองอย่างนี้ทุกวัน เว้นวันหยุดราชการ และเธอไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมแอบมองและสนใจเธออยู่ I proceeded to sneak a glimpse of her like this every day, except for holidays, but she never noticed that I was watching or that I was interested.
sp.gif (491 bytes)สภาพเช่นนี้ไม่ดีเลย เพราะมันทำให้ผมไม่มีความสุขและเป็นกังวลตลอดเวลา ผมหาวิธีที่จะทำความรู้จักกับเธอไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนดีที่จะดูไม่น่าเกลียดแค่สบตาเธอผมยังรีบหลบทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่สนใจแล้วผมจะให้เธอรู้จักได้อย่างไร ผมจะไปขอทำความรู้สึกกับเธอได้อย่างไร This situation was not in the slightest bit advantageous as I was in a perpetual state of gloom and distress. I could find no way to introduce myself. I couldn't think of any polite way of doing it. Just meeting her eyes, I quickly dropped my gaze as if nothing happened, as if I wasn't interested at all - now how in the world was I going to meet her? How was I ever going to introduce myself?
sp.gif (491 bytes)เช้าวันหนึ่ง หลังจากนอนคิดมาทั้งคืน ผมคิดว่าจะต้องไปดักรอและทักเธอให้ได้ในวันนี้ เป็นตายยังไงก็ต้องทักเธอให้ได้ เธอจะพูดกับผมหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมตื่นแต่เช้าแต่งตัวเรียบร้อย คาดเข็มขัดมหาวิทยาลัยทั้งที่ปกติไม่เคยใช้ ถ้าไม่เกรงว่าพี่หรือเพื่อนจะเห็นเข้าผมอยากจะผูกเนคไทเสียด้วยซ้ำ One morning, after a night of contemplation, I thought I was going to have to wait and get her attention today. No matter if it brought on death, I would have to get her attention. Whether she would speak with me or not was an entirely separate issue. I woke up early, dressed and slipped on my university belt, an item I had normally foregone. If I hadn't feared my brother or my friends would see me, I would have also worn a necktie.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมมายืนกระสับกระส่ายอยู่ที่ใกล้ๆกับสะพานไม้ทำเป็นเกร่ไปเกร่มาเพื่อไม่ให้คนที่เดินไปมาสงสัยว่าผมมารอใคร คิดหมายมั่นในใจว่าวันนี้จะต้องทักเธอและเดินคุยกับเธอไปให้ถึงป้ายรถเมล์ปากซอยให้จงได้ยืนตัวเย็นมือชื้นอยู่สักครึ่งชั่วโมงก็เห็นเธอเดินข้ามสะพานไม้มา ใจผมเต้น...เต้นจนผมรู้สึกว่าซี่โครงแทบจะแยกออกเพราะแรงสะเทือน I stood impatiently near the wooden bridge, just wandering about so not to make the passer-by curious as to for whom I was waiting. I made up my mind that this would be the day I caught her attention and strolled along to the bus stop at the front of the lane, talking with her. I stood there for about half an hour as my body went cold and my hands got sweaty. Then I saw her coming across the bridge. My heart began to pound ... pound until I felt like my ribcage would crack open from the vibrations.
soundbutton.gif (1343 bytes)เธอมาแล้ว เดินมาแล้ว กำลังลงสะพานไม้มาแล้วมือขวาถือหนังสือแนบอกพร้อมด้วยกระเป๋าสีดำใบเล็กๆผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่ในมือซ้าย เธอลงสะพานไม้มาแล้ว...เธอเดินตรงมาที่ผมแล้ว...มาแล้ว....เธอเดินมาถึงผมแล้ว...กำลังจะเลยไปแล้ว...เธอดินผ่านไปแล้วปากผมไม่ได้ขยับเลย Here she came. She's walking this way. She's coming down off the bridge. Her right hand was clutching her books to her chest along with a small, black handbag. Her white handkerchief was in her left hand. She's getting off the bridge. She's walking toward me. . . closer. . . She's right beside me. She's passing me. She'd passed me and my mouth hadn't moved an inch.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมไม่ได้เดินตามเธอออกไปรอรถเมล์หรอก เดินกลับเข้าบ้านเอาหัวโขกประตูเสียทีหนึ่งด้วยความโมโหตัวเอง นอนเซ็งมองเพดานอยู่เกือบสองชั่วโมงกว่าจะออกไปขึ้นรถเมล์เรียนได้ I didn't follow her out to wait for the bus, but instead walked home and banged my head on the door. For nearly two hours, I lay down staring at the ceiling in frustration before I could go back out to the bus stop and head to school.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมรู้จักวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่เคยคิดว่าจะไปเดินเล่นแถวนั้นเผื่อจะพบเธอบ้าง แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าแค่พบเธอแทบทุกวันที่นี่ผมยังไม่มีปัญญาจะทำความรู้จักกับเธอได้ I knew the college where she studied. I had thought about taking a stroll in that area to meet her, but what advantages would that be when I could meet her almost everyday here?  I still didn't have any idea of how to acquaint myself with her.
soundbutton.gif (1343 bytes)ลมฝนทำท่าจะมา ดอกหางนกยูงที่ป้ายรถเมล์ร่วงพริ้ว เดี๋ยวนี้การพบเธอแค่ตอนเช้าเริ่มไม่อิ่มพอสำหรับผม ผมลองใช้เวลาตอนเย็นของบางวันที่ไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยหรือบางวันที่ไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยหรือบางวันที่กลับมาบ้านเร็วมาเกร่รอเธอที่ร้านกาแฟบ้างที่ป้ายรถเมล์บ้าง แถวสะพานไม้บ้างหวังว่าบางทีอาจได้เห็นเธออีกช่วงหนึ่งจริงๆด้วยเตร่อยู่สักสามสี่วันผมก็เห็นเธอลงจากรถของมหาวิทยาลัยมาตอนราวๆเกือบหกโมงเย็น  

 

 

It looked like wind and rain would come. Flame tree flowers at the bus stop drifted down. Now the morning glimpse of her seemed not enough for me.  Some days I spent those evenings that I did not go to the university or when I went home early and hung out to wait for her at a coffee shop, at the bus stop, or near the wooden bridge, hoping that perhaps I might  see her again. After hanging out there for about two or three days, I saw her getting out of her college bus at approximately a little before 6 p.m.

 

soundbutton.gif (1343 bytes)ทีนี้ผมก็เลิกเถลไถล สี่โมงกว่าผมก็เลิกสนใจสิ่งไหนทั้งหมดรีบขึ้นรถเมล์กลับบ้านมารอเธอที่ป้ายรถเมล์รถของวิทยาลัยของเธอจะมาถึงราวๆห้าโมงครึ่งถึงหกโมง Since then I stopped fooling around. After 4 o'clock I was little interested in anything. I quickly got on the bus and headed back home and came to wait for her at the bus stop. Her college bus would arrive between 5:30 and 6 o'clock.
soundbutton.gif (1343 bytes)มาถึงตอนนี้ ผมว่าเธอคงรู้แล้วว่าผมเป็นคนซอยเดียวกับเธอ At the stage of the game, I believed she had already realized that I lived on the same lane as she.
soundbutton.gif (1343 bytes) เธอดินไม่มองใครอย่างนั้นแค่ทำให้เธอรู้ว่าผมอยู่ซอยเดียวกับเธอผมก็ดีใจมากแล้ว เพราะคนในซอยนี้มีเป็นพัน วันๆเดินเข้าเดินออกไม่รู้ว่าเท่าไหร่ และก็ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่แอบสนใจเธอ คนอื่นๆก็มี รวมทั้งจิ๊กโก๋ประจำตรอกที่ตะโกนอย่างไม่เกรงใจว่าคนวยมาแล้ว เมื่อเห็นเธอเดินผ่าน แล้วบางทีก็มีคำพูดที่ผมไม่ต้องการได้ยินตามมา แต่เธอก็นิ่งและสงบไม่เคยเหลียวไม่เคยเปลี่ยนสีหน้า While she was walking, she didn't look at anyone such that if only I could make her know that I lived on the same lane  with her I was, well, very happy. Because there were thousands of people on this lane and who knew how many of them walked in and out of the lane each day and, besides, it was not only me who was secretly interested in her. Well, there were others too including those greasers who loudly and offensively remarked that the beautiful girl had come when seeing her pass by.  Sometimes there was words that I didn't want to hear.  But she was silent and peaceful, never turned, never changed expression.
soundbutton.gif (1343 bytes) ผมหาวิธีอีกหลายครั้งหลายหนที่จะทำความรู้จักกับเธอ ทำไมการจะรู้จักผู้หญิงสักคนหนึ่งถึงได้ยากเย็นอย่างนี้ จะเขียนจดหมายหรือก็ไม่กล้า เขียนแล้วจะส่งให้เธอได้อย่างไร ชื่อเธอผมก็ยังไม่รู้จักผมเคยเดินตามเธอไปห่างๆจนเห็นเธอเลี้ยวเข้าบ้าน เป็นบ้านไม้ธรรมดาแต่มีรั้วสังกะสีสูง ผมไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง จะเขียนจดหมายถึงเธอได้ยังไง ผมเขินที่จะเอาไปให้เธอซึ่งๆหน้า จะจ้างเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่เอาไปให้ก็ไม่กล้าอีกนั่นแหละ อะไรๆผมก็ไม่กล้า แล้วทำไมผมจะต้องมาชอบเธอเอามากๆอย่างนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยพูดจารู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ I looked for a way time and again to get acquainted with her. Why was becoming acquainted with just one girl so extremely difficult? I wouldn't dare to write a letter or, if I did, how would I send it to her? I still didn't know her name. I had, before, walked along after her a far distance until I saw her turn and enter a house. It was an ordinary house but had a tall iron fence. I didn't know who else lived there. How would I write a letter to her? I was too shy to bring it to her personally. To hire a child to run over and give it to her was again too embarrassing.  I had no guts to do anything. Why did I have to like her this much? I hadn't even had a chance to talk or to know her name.
soundbutton.gif (1343 bytes)เห็นจะต้องลองอีกที ผมจะต้องไปรู้จักกับเธอให้ได้เป็นยังไงเป็นกัน แต่วันนี้บรรยากาศไม่เป็นใจ จิ๊กโก๋สามสี่คนยืนอยู่บนสะพาน ไม้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทักเธอผมถอยกลับมายืนดูอยู่ห่างๆเห็นเธอเดินหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ ผมเลยเดินตามหลังเธอไปเงียบๆเหมือนเคย I had to try again. I had to acquaint myselk with her no matter what.  But today the atmosphere was not right. Four or five greasers are standing on the wooden bridge loudly and boisterously greeting her.  I backed up, and looked from a distance. I see her walk with a swampface, not accepting the crowds. I then followed along behind her quietly as usual.
soundbutton.gif (1343 bytes)รุ่งขึ้น ผมไปรอใหม่ คราวนี้เธอเดินมาคนเดียวนอกจากผู้คนร่วมซอยที่เดินเข้าออกตามปกติแล้วไม่มีจิ๊กโก๋ ไม่มีใครอื่นที่จะมาเกี่ยวข้องในวิถีทางของผมและไม่มีวี่แววว่าเธอจะอารมณ์เสียเหมือนเมื่อวาน เธอเดินมาทางผมแล้วผมทำเป็นเพิ่งเดินออกจากบ้าน วันนี้ลมแรง แรงเหมือนเสียงเต้นระทึกของหัวใจผม เธอเดินมาถึงแล้วเจียนจะคล้อยหลัง ตายละซี.... ผมไม่ได้นึกมาก่อนเลยว่าจะเปิดประโยคแรกว่าอย่างไร The next day, I went to wait again. This time, she came  alone. Besides those who passed by regularly, there were no greasers, no one else who would come in my way.  And there was no indication that she would be in a bad mood like yesterday. She was walking toward me now. I acted as if I had just walked out of the house.  Today the wind was so strong and loud, as loud as the beat of my heart.  She walked up to me and was just now going off.  Damned! I hadn't thought about how I should greet her.
soundbutton.gif (1343 bytes)"วันนี้ลมแรงนะครับ" ผมเปิดประโยคแรกออกมาอย่างเร่งรีบด้วยเกรงว่าเธอจะเดินเลยไปเสีย "Today the wind is so strong," I uttered the first sentence  hurriedly in fear that she would walk away totally.
soundbutton.gif (1343 bytes)ลมแรงจริงๆเพราะเสียงผมไปไม่ถึงหูเธอดอกปากผมสั่นเสียจนเสียงมันหายวูบกลับเข้าไปในลำคอหมด เธอเดินผ่านไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า ผู้ชายคนหนึ่งได้ใช้ความกล้าหาญที่สุดเท่าที่จะเคยใช้มาในชีวิตกับเธอเมื่อครู่นี้ There was truly strong wind because my voice went out but it didn't reach her ears.  My lips were so shaky that the voice returned back into my throat. She walked by me not knowing that one man used the utmost bravery that he had ever used in his life with her a second ago.

 

 

soundbutton.gif (1343 bytes)ผมหยุดมองเธอสักครู่ใหญ่แล้วเดินตามเธอออกมาที่ป้ายรถเมล์ด้วยหัวใจอันแห้งเหี่ยว ผมมามองเธออีกครั้งที่ป้ายรถเมล์ ผมควรตัดสินใจอะไรสักอย่างในวันนี้เพราะผมได้ใช้ความกล้าหาญที่สุดไปแล้ว ผมควรจะทำอะไรในเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าที่เคยเพราะขืนปล่อยเลื่อยเจื่อยเรื่อยไปอย่างนี้ ผมเห็นจะทุรนทุรายตายไปก่อนวัยอันควรเป็นแน่ I stopped staring at her for a long moment. Then I followed her out to the bus stop with such a weak and cheerless heart. I stared at her again at the bus stop. I should make some kind of decision today since I used my courage.  So I should be able to do anything concerning this matter much more easily and comfortably.  Because if I let it go like this any longer, I would be restless and die before the proper time.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมพยายามเพ่งมองเธอมาด้านหลัง เธอไม่รู้สึกตัวเพราะมัวแต่ชะเง้อดูว่ารถของวิทยาลัยมาหรือยัง พอเห็นรถของวิทยาลัยวิ่งมาแต่ไกลดูเธอค่อยแจ่มใสขึ้นขยับตัวอย่างผ่อนคลายและจังหวะนั้น เธอหันหน้ามาทางผมเราสบตากันและอาจเป็นเพาะผมตั้งใจเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้ ผมจึงไม่รีรอที่จะส่งยิ้มออกไป I just tried to stare at her from behind. She didn't feel anything because she was busy looking for her college bus. When she saw it approaching, she looked more cheerful, and  relaxed.  And at that moment, she turned to face me and we met each other's eyes. And it may have been because I had intended to do it before, I then did not hesitate to flash a smile.
soundbutton.gif (1343 bytes)เหมือนตาฝาด ผมเห็นเธอยิ้มตอบผม ผมหันไปมองข้างหลังเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ยิ้มกับคนอื่นไม่ เธอยิ้มให้ผมจริงๆทุกคนที่รอรถเมล์อยู่ไม่มีใครสนใจใคร ผมหันกลับมาหาเธออีกครั้ง เธอมีรอยยิ้มมากกว่าเดิมขณะที่ก้าวขึ้นรถของทางวิทยาลัย ผมมองตามรถนั้นจนลับสายตา รู้สึกว่าโลกสว่างไสวกว่าทุกวันหางนกยูงสีแดงสดจ้านั้นเหมือนจะแย้มยิ้มเริงรื่นไปกับผมด้วย  

As if my eyes were playing tricks on me, I saw her return my smile. I looked around me, just to make sure that her smile wasn't intended for someone else.... No. She really was smiling at me. The other people were waiting for the bus. None showed any interest in anything else. I turned back to her one more time. Her smile had grown, even as she boarded the bus. I watched that bus until it disappeared from sight. The world was more brilliant today than any other day. The bright red of the flame tree flowers smiled enchantingly at me.

soundbutton.gif (1343 bytes)ผมแทบไม่เป็นอันเรียนเลยในวันนั้น กระสับกระส่ายรอเวลาสี่โมงเย็นเพื่อจะนั่งรถกลับมารอรถวิทยาลัยของเธอที่จะพาเธอกลับมาแต่วันนี้ผมรอเก้อเพราะเธอไม่ได้กลับมากับรถของ
วิทยาลัยด้วย เธออาจติดธุระที่ไหนจนกลับไม่ทันรถของทางวิทยาลัยก็ได้ผมปลอบใจตัวเองขณะเดินเข้าบ้าน ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนพี่ชายแปลกใจ เพราะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะพูดกับเธอว่าอย่างไรดีในวันรุ่งขึ้น ทีนี้เธอรู้จักผมแล้ว เธอยิ้มให้ผมแล้วเธอคงไม่รังเกียจที่จะพูดจากับผม เราจะรู้จักกันอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น
I could hardly study that day. Restlessly I waited for four o'clock, when I could catch the bus home and wait for her return. But my wait proved futile that day, because she didn't come home on her college's bus. Maybe she had some business to take care of, so she couldn't make it to her bus on time. I consoled myself as I walked home. I was in such a great mood (my big brother was perplexed by this development), because I was thinking the entire time about what I would say to her the next morning. She knew who I was. She smiled at me. She probably wouldn't be uncomfortable if I said something to her. Tomorrow we would make our formal introductions.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมตื่นเช้ากว่าทุกวัน เมื่อมาเดินเกร่อยู่แถวสะพานไม้สักพักหนึ่ง ผมเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งตกอยู่ผมจำผ้าแบบนี้ได้ถนัดเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เธอชอบถือ ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยความดีใจ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวมีคราบน้ำค้างและเปื้อนดิน บางทีเธออาจทำตกไว้ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็ได้ เพราะผมคิดว่าเธอคงกลับบ้านดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมรอเธออยู่สักครึ่งชั่วโมงกว่า จนกระทั่งสายมากผมคิดว่าเธออาจไปวิทยาลัยแต่เช้าก็ได้ในวันนี้หรือบางทีเธออาจหยุดเรียน ผมคิดขณะเดินไปขึ้นรถเมล์อย่างเหงาๆแต่ก็ปิติดีใจที่เก็บผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยนี้ได้ผมจะเอามันไปคืนแก่เธอเมื่อพบกัน ทีนี้ผมจะไม่เก้อจนเกินไป เพราะมีสิ่งที่เป็นสื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น ผมพับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นใส่หนังสือเรียนไว้อย่างเรียบร้อย I woke up earlier than usual. Walking by the wooden bridge, I noticed a white handkerchief, the style of which I was quite familiar. It was her handkerchief. I picked it up joyfully. The white handkerchief was moist with the morning dew and stained with dirt. Perhaps she dropped it last night as she walked home. I waited half an hour for her. It was getting pretty late. She may have gone to school earlier than usual, or perhaps she had a day off. I felt lonely as I boarded the bus, and yet happy in the possession of her handkerchief. Now I could return it to her the next time we met. And I wouldn't feel too shy, since I now had a legitimate reason to get to know her. I carefully placed the handkerchief in my schoolbook.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมกลับมาบ้านตอนเย็นเร็วกว่าปกติเพราะไม่ต้องการพลาดรถของวิทยาลัยที่จะพาเธอกลับบ้านมานั่งรอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเคย....เอ๊....ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ของคุณหรือเปล่าครับ....คิดว่าคุณคงยังไม่ตั้งใจจะทิ้งผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนี้เป็นของคุณนะครับ....ผมวนเวียนคิดอยู่แต่ว่าจะพูดประโยคไหนกับเธอที่จะเข้าที่ที่สุด แต่ผมก็ไม่มีโอกาสจะพูดเหมือนที่ตั้งใจ เพราะแม้กระทั่งรถของวิทยาลัยของเธอผ่านไปแล้ว จนเกือบหกโมง เธอก็ยังไม่กลับมา I returned home earlier than usual that evening. I didn't want to miss the bus that would carry her home. I sat and waited at the bus stop.  "Ehh,  is this your handkerchief?" "I think that you probably didn't intend to throw away this handkerchief." "I think this white handkerchief belongs to you." The possibilities ran through my head. Which one was best? But I had no opportunity to say anything, because when her bus pulled up, she didn't get off. It was almost six o'clock, and she still hadn't returned.

 

 

 

soundbutton.gif (1343 bytes)รถตำรวจเปิดหวอวิ่งเข้าไปในซอยบ้านผมสองคันมีผู้คนพลุกพล่านผิดปกติ ตีกันอีกละซี ผมนึกในใจขณะที่เดินเข้าซอยอย่างหงอยเหงา Two police cars blared their sirens as they entered the lane on which I live. There were more people than usual gathered about. Another fight, I thought to myself as I walked home, feeling dejected and deserted.
soundbutton.gif (1343 bytes) มีเสียงจ้อกแจ้กกันตั้งแต่ปากซอยว่ามีคนตายผู้คน โดยเฉพาะเด็กๆวิ่งเข้าไปดูทางซอยลึกเมื่อมองไปข้างหน้าผมจึงเห็นผู้คนเป็นร้อยชุมนุมกันอยู่ที่สะพานไม้ รถของมูลนิธิร่วมกตัญญูวิ่งผ่านผมไป Strands of conversation floated toward the mouth of the lane. Someone had died. Little kids ran down the lane to get a better look. Ahead of me, I saw perhaps a hundred people gathered about the wooden bridge. An ambulance passed me by.
soundbutton.gif (1343 bytes)มีใครตายที่สะพานนั่นแน่ๆแล้ว ซอยระยำนี่มันช่างไม่น่าอยู่เอาเลย นี่เป็นหนที่สามแล้วที่ผมเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้ ครั้งที่แล้วจิ๊กโก๋แทงกันตายก็ใกล้ๆสะพานไม้แห่งนี้ ผมคิดว่าจะชวนพี่ย้านไปอยู่ที่อื่นเมื่อเรียนจบเพราะเบื่อความเป็นซอยทรชนของที่นี่เต็มที่แต่วูบหนึ่งผมคิดว่าผมจะยังไม่ย้ายไปไหนจนกว่าจะรู้จักกับเธอและถ้าอะไรเป็นไปเหมือนที่ผมฝัน ผมอาจไม่ย้านไปไหนเลยก็ได้ Some had died by the bridge. This damn lane, it's not worth it to live here. This was the third time that I had seen something like this. Last time, gang members stabbed themselves to death right near this wooden bridge. I thought to ask my brother to move with me from this lane, to go somewhere else once I finished my studies. I'm tired of this lane that's full of criminals. But just as quick, I thought that perhaps I didn't want to move just yet, not until I got to know her. And if things went as I dreamt, maybe I wouldn't move at all.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมตั้งใจจะเดินเข้าบ้านโดยไม่แวะดูการเก็บศพซึ่งคิดว่าคงจะอยู่ในคูน้ำนั้น แต่เมื่อแว่วๆไทยมุงพูดว่าคนตายเป็นผู้หญิงทำให้ผมเบียดเสียดเข้าไปดูกับเขาบ้าง I intended to walk straight home, without joining the audience of people gawking at the body in the ditch. But when I heard one of the spectators say that the dead was a woman, I pushed my way through to get a look myself.
soundbutton.gif (1343 bytes)ผมออกมารอรถเมล์สายกว่าปกติ ไม่ได้เสียเวลาแม้แต่นิดเดียวที่สะพานไม้แห่งนั้นแวะซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านปากซอยรูปของเธอคนที่ผมอยากรู้จัก เธอคนที่ผมฝันถึงปรากฏอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ พร้อมด้วยพาดหัวและรายงานข่าวอย่างพิสดาร ทีนี้ผมก็รู้จักเธอผู้อยู่ซอยเดียวกับผมแล้ว รู้ว่าเธอชื่ออะไรมาจากไหน อยู่กับใคร แต่จะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า I went to wait for the bus later than usual. I didn't waste anytime at the wooden bridge.  I did stop and buy a newspaper at the shop by the lane's entrance. The girl of my dreams was on the front page of every daily, along with a big headline and a detailed report. It was here that I finally met her, that girl who lived on the same lane as me. Here I came to know her name, where she came from, and who she lived with. But what good did that do me now?
soundbutton.gif (1343 bytes)ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นยังอยู่ในหนังสือของผม ผมเปิดหนังสือดูมันอย่าเศร้าซึม กลับของหางนกยูงปลายเดือนกรกฎาพริ้วร่วงเกือบหมดต้น กลีบเก่ากลีบหนึ่งร่วงลงมาบนหนังสือที่ผมเปิดดูอยู่ มันหล่นลงบนผ้าเช็ดหน้าสีขาวของเธอ  

 

Her white handkerchief was still in my book. I opened it and looked mournfully at the white cloth. One of the few remaining petals from the flame tree fluttered down and landed on her white handkerchief.

 

soundbutton.gif (1343 bytes)สีแดงเข้มของกลีบหางนกยูงเหมือนสีเลือดเปรอะเปื้อนบนผ้าเช็ดหน้าสีขาว The dark red of the flame tree   dying petal against that white handkerchief looked like the stain of blood.

 


วาณิช จรุงกิจอนันต์ "บ้านเราอยู่ในนี้ ซอยเดียวกัน" ใน ซอยเดียวกัน กรุงเทพมหานคร: บูรพาสาส์น ๒๕๓๘. ๑๘๙-๒๐๘.            

To the top


Last Modified:  04/22/08