ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้
ยังคงตกอยู่ในสภาพ อกสั่นขวัญแขวน วิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย
ในชีวิตและทรัพย์สิน หลังกลุ่มคนร้ายออก อาละวาดวางเพลิง
ใช้ปืนไล่เข่นฆ่าผู้คนและ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง
อย่างต่อเนื่องไม่เว้นวัน ถึงขั้นข่มขู่จ้องเล่นงานทูตไทย
ในต่างประเทศ ขณะที่การแก้ไขปัญหา ของภาครัฐบาล
ยังคงไร้ประสิทธิภาพ ในการแก้ปัญหาดับไฟใต้ ให้สงบราบคาบ
จนกลายเป็นแรงกดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ต้องสั่งทบทวนมาตรการต่างๆ ล่าสุดมีการจัดส่งกำลังทหารอีก 2
กองพันไปเสริมทัพรักษาความปลอดภัย ในภาคใต้เพิ่มเติมด้วย
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ
กล่าวถึงกรณีที่มีจดหมายข่มขู่วางระเบิด
สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
และสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศสิงคโปร์ว่า
ความจริงเป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.
ซึ่งได้ประสานกับทางการมาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว
พร้อมกันนี้ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแลเอกอัครราชทูต
และสถานเอกอัครราชทูตแล้ว แต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
คิดว่าเป็นแค่กระบวนการกลั่นแกล้ง
เพราะชื่อที่ใช้นั้นไม่มีอยู่ในรายชื่อกระบวนการก่อการร้าย
อย่างไรก็ตามทุกครั้งรัฐบาลก็ไม่ประมาท
แต่จะดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัย และการข่าวอย่างเต็มที่
และขอยืนยันว่าคนที่ทำงานก็ไม่รู้สึกเสียขวัญกับจดหมายข่มขู่ดังกล่าว
ล่าสุดตนก็ได้พบเอกอัครราชทูตและกงสุลประจำมาเลเซียก็ปกติดีไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ตรวจสอบที่มาของจดหมายดังกล่าวหรือไม่
นายสุรเกียรติ์กล่าวว่า ได้ตรวจสอบตลอดแต่ลำบาก
เพราะใครจะส่งจดหมายมาเมื่อไรก็ได้
แต่ประเทศที่ถูกข่มขู่ก็ร่วมตรวจสอบกับไทยมาตลอด ซึ่งไม่มีอะไร
แต่ข่าวที่ออกมาเข้าใจว่าตำรวจของทางการมาเลเซีย
ให้สัมภาษณ์เรื่องอื่นและบังเอิญผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์
ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
ส่วนสาเหตุคิดว่ามาจากเรื่องอะไรนั้น ทาง รมว.ต่างประเทศกล่าวว่า
สถานการณ์โลกขณะนี้สับสน ทั้งตะวันออกกลางและอิรัก
จึงมีกลุ่มต่างๆพยายามฉวยโอกาส
ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะสถานทูตไทยเท่านั้นแต่เกิดไปทั่ว
ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังสถานทูตไทยในประเทศต่างๆ
ให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น
และเท่าที่การข่าวรายงานมา
ไทยก็ไม่ใช่ประเทศเป้าหมายของการก่อการร้าย
ส่วนที่มีการมองว่าไทยเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ
อาจจะเป็นเป้าหมายของการโจมตีได้ นายสุรเกียรติ์กล่าวว่า
ไม่น่าจะใช่ เท่าที่ตนได้สัมผัสจากการเยือน
ประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศ
ทุกคนเข้าใจว่าไทยไม่ใช่เป็นกลุ่มประเทศที่ใช้กำลัง ดังนั้น
สถานะของไทยจึงเป็นที่เข้าใจดี
แต่ก็มีผู้ไม่หวังดีหลายคนพยายามสร้างสถานการณ์ให้สับสน
ทางด้าน พล.ต.ท.เฉลิมเดช ชมภูนุท ผบช.ส. เปิดเผยว่า
จากการประสานสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย ในประเทศไทย
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้ช่วย ผู้บัญชาการประจำอยู่ทราบว่า
กระดาษข่มขู่ดังกล่าวส่งมาเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา
บอกรายละเอียดว่า จะมีการดำเนินการ 2-3 อย่าง
คือเรื่องวางระเบิดสถานทูต และทำร้ายเจ้าหน้าที่ทูตใน 2
ประเทศนี้ โดยมีการส่งมาจากเมืองนาการีปันซีรัน
ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงกัวลาลัมเปอร์
ตำรวจมาเลเซียให้ความมั่นใจในการดูแลสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศมาเลเซีย
และได้พบอธิบดีตำรวจของมาเลเซีย ซึ่งมาประชุมร่วมที่ จ.กระบี่
ก็ได้รับการยืนยันว่า
ทางมาเลเซียได้มีการจัดตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมา 1 หน่วย
เพื่อดูแลสถานทูตไทยและบุคคลต่างๆที่อยู่ประจำในมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว
ในส่วนของกลุ่มคนที่ส่งจดหมายมาข่มขู่ พล.ต.ท.เฉลิมเดชกล่าวว่า
ตอนนี้ต้องรอผลความคืบหน้าจากมาเลเซีย
คิดว่าเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีจดหมายข่มขู่
น่าจะเป็นเรื่องแฟชั่นก่อกวน
กรณีที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์น่าจะเป็นในแบบเดียวกัน
และขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจในการรักษาความปลอดภัย
รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล วันเดียวกัน พล.ต.ท.ธานี
สมบูรณ์ทรัพย์ ผบช.น.มีคำสั่งลับถึง ผบก.น.1-9 และ ผบก.สปพ.
เรื่องให้เฝ้าระวังสถานการณ์และกำชับมาตรการรักษาความปลอดภัย
หลังได้รับการประสานข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ปฏิบัติการข่าว (ศป.ข.)
ว่า มีบุคคลอ้างเป็นตัวแทนกลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ
เรียกชื่อกลุ่มเยลโลว์-เรด โอเวอร์ซีส์ ออแกไนเซชัน หรือ
Yellow-Red Overseas Organization (YROO)
เตรียมปฏิบัติการก่อการร้ายต่อพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา ได้แก่
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย คูเวต
และปากีสถาน โดยใช้แก๊สซารินเป็นเครื่องมือ เป้าหมายคือ
สถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ สำนักงานสายการบิน และเครื่องบิน
ระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟในประเทศไทย ช่วงระหว่างวันที่
20-30 เม.ย.47 รวมถึงสถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันเหตุความไม่สงบที่อาจเกิดขึ้น
ให้ทุกหน่วยดำเนินการดังนี้ 1.
เฝ้าระวังเหตุที่อาจจะมีการลอบวางระเบิดตาม
สถานที่เป้าหมายดังกล่าวข้างต้น
เน้นการปฏิบัติการด้านการข่าวและติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด 2.
ดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ที่ บช.น.สั่งการไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติตาม
มาตรการรักษาความปลอดภัยที่ตั้งสถานที่ทำการทุกหน่วย
รวมถึงสถานที่ราชการสำคัญและเป้าหมายในเขตรับผิดชอบอย่างเข้มงวด
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.สุรศักดิ์ สุทธารมณ์ รอง ผบช.น.
ยังมีคำสั่งลับด่วนที่สุดกำชับมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญ
หลังจากล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการข่าวได้รับการประสานจากสำนักงานสายการบินคูเวต
ประจำกรุงเทพฯ ว่า
ได้รับจดหมายขู่วางระเบิดเครื่องบินของสายการบินคูเวตเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ
ไปมะนิลา สายการบินเกาหลีใต้ เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปมะนิลา
และสายการบินฟิลิปปินส์ เที่ยวบินจากมะนิลาไปเกาหลีใต้
ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ในห้วงเวลาตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.-30 ก.ค.47
รวมทั้งแหล่งผลประโยชน์ของเกาหลีใต้ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์
ด้วย จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวงานข้องเฝ้าระวังเหตุ
ที่อาจจะมีการลอบวางระเบิดสายการบิน
และแหล่งธุรกิจของประเทศดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด
โดยพิจารณาดำเนินการอย่างเหมาะสม
อย่าให้เกิดความตื่นตระหนกต่อประชาชน
ที่อาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกัน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
กล่าวถึงจดหมายขู่วางระเบิดสถานทูตไทยในมาเลเซียและสิงคโปร์ว่า
เราไม่ได้ประมาท แต่ก็ไม่ได้เชื่อ และจะป้องกันมากกว่า
เท่าที่ตรวจสอบการขู่วางระเบิดเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2
สัปดาห์ที่แล้ว เป็นเรื่องเก่าที่ไม่มีมูลอะไร
แต่ได้สั่งให้เพิ่มมาตรการคุมเข้มแล้ว เพื่อความไม่ประมาท
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุม ครม.
วันที่ 27 เม.ย. ก่อนที่จะเข้าสู่วาระการประชุม พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ได้หยิบยกปัญหาความไม่สงบทางภาคใต้มาหารือกับ ครม.ว่า
การแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ขอให้รัฐมนตรีทุกคนที่เกี่ยวข้องติดตามการดำเนินการ
ตามนโยบายที่ให้ไว้ทั้ง 2 เรื่อง ดังนี้ คือ
เรื่องของการจัดสรรอัตรากำลังข้าราชการใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้ได้ ข้าราชการที่ดี
และเต็มใจทุ่มเทไปทำงานในพื้นที่ นอกจากนี้
เรื่องการสร้างงานในพื้นที่ภายใต้ภารกิจของแต่ละกระทรวงขอให้รัฐมนตรีช่วยกันคิด
เร่งดำเนินการเพื่อช่วยแก้ปัญหาความยากจนให้คนในพื้นที่ ทั้งนี้
ขอ ให้รัฐมนตรีรายงานความคืบหน้าในที่ประชุม ครม.
สัปดาห์เว้นสัปดาห์
และยังมีเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณในการแก้ปัญหาพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เพราะยังล่าช้าอยู่ ดังนั้น
ขอให้สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์และกระทรวงการคลังไปร่วมกัน
พิจารณาเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายรวดเร็วขึ้น
นายกฯยังกล่าวด้วยว่า
เท่าที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศจนถึงขณะนี้
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์โจมตีรัฐบาลอยู่มากมายหลายเรื่อง
แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่สามารถมาบั่นทอนรัฐบาลได้เลย
แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่ต้องยอมรับว่ามันบั่นทอนรัฐบาลนี้ คือ
เรื่องปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
ที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยมีการทำโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ
การดำเนินการนโยบายต่างๆของรัฐบาล
ประชาชนทั่วประเทศก็ยังมีความพึงพอใจอยู่ในระดับสูง
แต่เรื่องปัญหาภาคใต้
คือเรื่องเดียวที่มีผลกระทบต่อความนิยมของรัฐบาล ดังนั้น
ทุกฝ่ายต้องเร่งร่วมมือกันแก้ไขอย่างบูรณาการ
เพราะปัญหาภาคใต้ที่เกิดขึ้นก็มีนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ
มักจะใช้เหตุการณ์ในภาคใต้มาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองด้วย
ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจักรภพ เพ็ญแข
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม.ว่า
ภายในสัปดาห์หน้านายกฯจะเดินทางไปภาคใต้เพื่อดูปัญหาอีกครั้ง
ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดการเดินทาง
แต่นายกฯได้คำตอบแล้วว่า จุดใหญ่ของปัญหาในภาคใต้
คือเรื่องท้องถิ่นเกือบทั้งหมด
ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอกอย่างที่คิดกัน
นอกจากใช้เป็นข้ออ้างในบางครั้งเท่านั้น
และมีนักการเมืองใช้สถานการณ์เป็นเครื่องมือเพื่อเป็นประโยชน์
เพราะเป็นปีเลือกตั้ง หากไม่มีก็จะไม่รุนแรง
หรือถูกนำมาเป็นเงื่อนไข สำหรับการไปภาคใต้คราวนี้นายกฯ
จะไปติดตามด้านการข่าว การเมือง มากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ นอกจากนี้
จะไปแก้ปัญหาเรื่องครูอัตราจ้าง
เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าทำงานหนัก แต่ขาดความมั่นคง
ไม่มีอนาคตที่ชัดเจน
จึงได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาฯไปดูว่าอัตราครูที่ว่างอยู่หลังการใช้นโยบายโมชัล
ซับเปอเรชั่นจะพิจารณาครูอัตราจ้างเป็นลำดับแรกเพื่อเป็นครูประจำได้หรือไม่
ทั่วประเทศมีครูอัตราจ้าง 3.5 หมื่นคน ภาคใต้รับครูอัตราจ้างแล้ว
3 พันคน ส่วนคนที่ขอย้ายมีเพียง 700-800 คนเท่านั้น
แต่มีผู้สมัครสอบเป็นครูที่ภาคใต้ 6 พันคน
จึงไม่ต้องห่วงเรื่องครูไม่พอ
ส่วนสถานการณ์นองเลือดยังมีเกิดขึ้นรายวัน
กลุ่มโจรภาคใต้ยังอหังการใช้อาวุธปืนสงคราม
ไล่ยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บอีกราย โดยเมื่อเวลา 00.10 น.
คืนวันที่ 27 เม.ย. ร.ต.อ.วีรยุทธ ตาฮา ร้อยเวร สภ.อ.สายบุรี
จ.ปัตตานี รับแจ้งมีเหตุยิงกันบริเวณสามแยกบ้านบือแนราเมาะห์
หมู่ 4 ต.มะนังดาลำ อ.สายบุรี จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ปรีชา ยั่งยืน
ผกก. กำลังผสมทหารและ ตชด.รุด ไปร่วมตรวจสอบ
พบรถกระบะโตโยต้าไทเกอร์ สีบรอนซ์ ทะเบียน บจ 2 พัทลุง
เสียหลักพุ่งตกลงไปข้างทาง สภาพประตูด้านคนขับถูกยิงเป็นรู 2
แห่ง กระจกบังลมหลังและกระจกบังลมหน้าแตกกระจายหมดทั้งบาน
คมกระสุนเฉี่ยวแขนและลำตัวด้านขวาของ ร.ต.อ.เรวัติ ศรีจันทร์ทับ
รอง สว.ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
เจ้าของรถบาดเจ็บเล็กน้อย
ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนอาก้าตกอยู่รวม 4 ปลอก
พุ่งปมเรื่องส่วนตัว-ฝีมือโจรใต้
จากการสอบสวนทราบว่า ร.ต.อ.เรวัติเสร็จจากทำธุระที่บ้านเพื่อน
กำลังขับรถกลับบ้านพักในตลาดสายบุรี ขณะรถวิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุ
มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนสวมชุดดำ ไม่สวมหมวกกันน็อก ใช้รถ
จยย.ฮอนด้าไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนไล่แซงประกบขึ้นมาทางด้านขวา
โชคดีที่ ร.ต.อ.เรวัติเหลือบไปเห็นจึงหักรถหลบเข้าข้างทาง
เป็นจังหวะเดียวกับที่คนร้ายเหนี่ยวไกยิงใส่รวม 5 นัด
กระสุนจึงแค่เฉี่ยวไม่ถูกจุดสำคัญ ร.ต.อ.เรวัติ
ชักปืนพกยิงตอบโต้ไป 4 นัด แต่ไม่ถูก 2
คนร้ายรีบเร่งเครื่องหลบหนีไปทาง อ.สายบุรี
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามวิทยุสกัดจับ แต่ไม่พบวี่แวว
สำหรับสาเหตุของการถูกปองร้ายในครั้งนี้เบื้องต้นตั้งไว้ 2
ประเด็น คือเป็นฝีมือโจรก่อการร้ายล่าเด็ดหัวตามแผนใบไม้ร่วง
หรือเรื่องส่วนตัว ซึ่งจะได้สืบสวนต่อไป
อีกรายฆ่าโหดสายลับทหารเกิดขึ้นเมื่อเวลา11.40 น. วันเดียวกัน
พ.ต.ต.สมจิตต์ สุวรรณชาตรี สารวัตรเวร สภ.อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
รับแจ้งมีคนถูกยิงบาดเจ็บบนถนนสายปะนาเระ-สายบุรี หมู่ 4
บ้านเตราะหักต.น้ำบ่อ อ.ปะนาเระ รุดไปตรวจสอบพบเพียงรถ จยย.
ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ทะเบียน กนฉ 491 ปัตตานี
ล้มตะแคงข้างอยู่กลางถนนพร้อมกองเลือดกองใหญ่
ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.ปะนาเระ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ทราบชื่อนายสมคิด พรหมมินทร์ อายุ 44 ปี บ้านเดิมอยู่ จ.นครพนม
แต่มาประกอบอาชีพรับซื้อทองตามหมู่บ้าน ถูกยิงด้วยกระสุนปืน .38
บริเวณลำตัว ใบหน้าและแขนขวารวม 4 นัด
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าผู้ตายนอกจากจะมีอาชีพเร่รับซื้อทองตามหมู่บ้านต่างๆแล้ว
ยังทำงานเป็นสายลับให้กับทหารหน่วยข่าวกรองด้วย
ก่อนเกิดเหตุมีคนร้ายเป็นชาย 2 คน สวมชุดดำขี่รถ
จยย.ไม่ทราบยี่ห้อไล่ตามมาติดๆ
ก่อนจะเร่งเครื่องแซงประกบยิงจนเสียชีวิตดังกล่าว
ส่วนสาเหตุน่าจะเป็นฝีมือกลุ่มโจรล่าเด็ดหัวแก้แค้น
เมื่อเวลา 10.00 น. วันเดียวกันนายวิชม ทองสงค์ ผวจ.นราธิวาส
ได้มีคำสั่งด่วนแจ้งผ่านทางวิทยุสื่อสารถึงนายอำเภอทั้ง 13
อำเภอของจังหวัดว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย.
ได้มีไปรษณียบัตรจากกลุ่มคนที่อ้างตัวเป็นสมาชิกกลุ่มมูจาฮีดีนปัตตานี
ส่งถึง ผวจ.ทั้ง 3
จังหวัดภาคใต้ขู่ว่าจะออกปฏิบัติการล่าเด็ดหัวข้าราชการผู้บริสุทธิ์
เพื่อตอบโต้การแก้ปัญหาของทางราชการที่จับตัวชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ไปเข่นฆ่า
พร้อมทั้งระบุว่ามีเป้าหมายที่จะเล่นงานไม่ต่ำกว่า 100 จุด
โดยจะใช้วิธีการรบแบบจร-ยุทธ ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาจนชำนาญ
จึงสั่งให้นายอำเภอเตรียมพร้อม
และจัดกำลังดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่เพื่อความไม่ประมาท
ส่วนเมืองยะลาคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องบึมสนั่นเมืองรับอรุณ
โดยเมื่อเวลา 06.30 น. เช้าวันเดียวกัน พ.ต.ท.ประสิทธิ์ ศรีดี
สวป.สภ.อ.เมืองยะลา รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191
ว่าพบวัตถุต้องสงสัยถูกนำมาวางทิ้งไว้ด้านหลังที่นั่งพักของตำรวจสายตรวจ
ซึ่งด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง กั้นเป็นล็อกๆขายของแบ่งให้เช่าเกือบ 20
ห้อง ตรงข้ามห้างซุปเปอร์ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ถนนระนอง
ในเขตเทศบาลนครยะลา พบกล่องพลาสติกสีม่วงสูงประมาณ 4 นิ้ว กว้าง
1 ฟุต มีฝาปิดมิดชิดและมีเทปกาวสีน้ำตาลพันรอบ
จึงประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดของ บก.ภ.จ.ยะลา
นำปืนยิงน้ำแรงดันสูง (วอเตอร์แคนนอน)
สำหรับตัดทำลายวงจรจุดชนวนระเบิด มาทำลายกล่องต้องสงสัยดังกล่าว
ปรากฏว่า ขณะที่กำลังเตรียมทำลาย
กล่องดังกล่าวก็เกิดระเบิดขึ้นมาเองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
พร้อมๆกับมีเปลวเพลิงสว่างวูบขึ้นมากระจายไปรอบๆ
พร้อมทั้งมีเศษสะเก็ดระเบิดจำพวกตะปู ลูกปราย
และเศษเหล็กชิ้นเล็กๆปลิวกระจัดกระจายเกลื่อน
แต่โชคดีที่มีการกันประชาชนออกห่างจากจุดดังกล่าวจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
จากการตรวจสอบพบเศษชิ้นส่วนของโทรศัพท์มือถือรุ่น 3310
เศษปุ๋ยยูเรีย และเศษดินระเบิดพาวเวอร์เจลอีกจำนวนหนึ่ง
เบื้องต้นจากสภาพความเสียหายและพื้นที่ที่เกิดเหตุคาดว่าคนร้ายต้องใช้ปุ๋ยยูเรียไม่ต่ำกว่า
2 กก. ผสมน้ำมันโซล่าและเศษวัสดุที่เป็นอันตรายอย่างลูกปราย ตะปู
และเศษเหล็กจำนวนหนึ่ง
มีระเบิดพาวเวอร์เจลไม่ต่ำกว่าครึ่งปอนด์เป็นตัวทำลาย
จุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือที่ตั้งค่าเอาไว้ล่วงหน้า
หรือใช้วิธีโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องซึ่งติดตั้งไว้กับระเบิด
หมายจะเล่นงานตำรวจสายตรวจของ สภ.อ.เมืองยะลา
ที่มักจะแวะเวียนเข้ามานั่งพักเป็นประจำ
แต่บังเอิญมีคนมาพบเข้าเสียก่อน
คนร้ายซึ่งคาดว่าน่าจะซุ่มสังเกตการณ์
อยู่ไม่ไกลเห็นท่าไม่ดีชิงจุดระเบิดทำลายหลักฐานทิ้ง ด้าน พ.ต.อ.
ปริญญา ขวัญยืน รักษาการ ผบก.ภ.จ.ยะลากล่าวว่า
ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าปุ๋ยยูเรียที่พบเป็นส่วนผสม
ของระเบิดครั้งนี้เป็นตัวเดียวกับที่ถูกปล้นไปจากโรงโม่หินมนู-นิตยาเมื่อประมาณ
1 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ ซึ่งจะได้ตรวจสอบต่อไป
อีกรายสิบตำรวจเอกถูกซุ่มยิงถล่มด้วยเอ็ม 16 รอดตายฉิวเฉียด
เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 27 เม.ย. ร.ต.ต.สุโชค
ผู้มีโชคชัย ร้อยเวร สภ.อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี
รับแจ้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงบาดเจ็บ บนถนนสายบ้านดีปิง หมู่
5 ต.ตะโละดือรามัน อ.กะพ้อ
จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบพบรถจยย.คาวาซากิ สีแดง
ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มอยู่ข้างทาง
บริเวณป่าละเมาะฝั่งตรงข้ามพบกองเลือดกองใหญ่
และปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่ถึง 15 ปลอก
ส่วนผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นเจ้าของรถ จยย.ทราบชื่อ ส.ต.อ.วีระโชติ
ชัยลาภ อายุ 28 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.อ.กะพ้อ
ถูกยิงด้วยกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่หน้าแข้งซ้ายทะลุ 1 นัด
สอบสวนทราบว่าเพิ่งเสร็จจากสอนเยาวชน
ในหมู่บ้านดีปิงเตะฟุตบอลตามโครงการมวลชนสัมพันธ์
ขณะขี่รถจยย.มาถึงจุดเกิดเหตุ มีคนร้าย 2 คน
สวมชุดดำดักซุ่มอยู่ข้างทาง ใช้ปืนเอ็ม 16 กราดยิงใส่เป็นชุด
โชคดีที่ไหวตัวทันกระโดดลงจากรถ กระสุนถูกที่หน้าแข้ง ยึดรถ
จยย.เป็นที่กำบัง ชักปืน.357 ยิงสวนไปจนหมดกระสุน ถูก 1 ใน 2
คนร้าย ที่หน้าท้องและแขนขวา มีเพื่อนอีกคนพยุงไปขึ้นรถ
จยย.ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ทาง
ร.ต.ต.สุโชคจึงแจ้งวิทยุระดมสายตรวจเร่งสกัดจับ
และตรวจค้นตามโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ แต่ยังไม่พบวี่แวว
ส่วนประเด็นปองร้ายคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือกลุ่มโจรภาคใต้สร้างสถานการณ์
ส่วนปลอก กระสุนเอ็ม 16
ได้ส่งไปตรวจสอบดูว่าตรงกับปืนที่ถูกปล้นไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาหรือไม่
|