Article 24


คลั่งยิง3ศพ. 3ขวบไม่เว้น น้องชายฆ่าพี่


น้องชายยิงพี่-เพื่อน-หลานสาว 3 ขวบ ดับสยองคารถ ก่อนทำทีเข้าแจ้งความถูกดักยิง ตร.พบพิรุธเค้นจนสารภาพ อ้างแค้นพี่ชาย-พี่สะใภ้ วางแผนขอนั่งรถออกจากบ้าน ได้จังหวะจ่อยิงทั้งรถ ประวัติเคยมีอาการทางประสาท

เหตุการณ์น้องชายคลั่งใช้ปืนยิงพี่ชาย หลานสาว 3 ขวบ พร้อมญาติดับ 3 ศพคารถกระบะย่านศรีนครินทร์รายนี้ถูกเปิดเผยเมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 27 เม.ย. พ.ต.ต.เชาว์ ป้อมงาม พนักงานสอบสวนเวร สภ.ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีเหตุคนถูกยิงเสียชีวิต 3 ราย ภายในรถยนต์กระบะสองตอน ยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน รุ่นดีแมคซ์ หมายเลขทะเบียน ษย 913 กรุงเทพมหานคร

เหตุเกิดบริเวณสามแยกโรงแรมพาเลซ ถ.ศรีนครินทร์ ตัดกับ ถ.ซอยไปรษณีย์ หลังวัดหนามแดง หมู่ 5 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังได้รับแจ้งจึงรายงาน พล.ต.ต.สุวิระ ทรงเมตตา ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผกก.สภ.ต.สำโรงเหนือ พ.ต.อ.อุดร ยอมเจริญ รอง.ผกก.ป. พ.ต.ต.วิชัย เจริญเรืองสกุล สว.สส.สภ.ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ รีบรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวรโรงพยาบาลสมุทรปราการ เจ้าหน้าที่วิทยาการเมืองสมุทร และมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุพบรถคันดังกล่าวจอดชิดขอบทางด้านซ้ายในลักษณะเตรียมจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์มุ่งหน้าไปทางสี่แยกศรีเทพาเข้าสู่เมืองปากน้ำ โดยเครื่องยนต์ยังติดอยู่และเปิดไฟฉุกเฉินกะพริบทิ้งไว้ ตรวจสอบภายในรถพบผู้เสียชีวิต จำนวน 3 ราย

โดยบริเวณเบาะหน้าด้านคนขับพบศพ นายณรงค์ แขรัตน์ อายุ 31 ปี ทำงานเป็นผู้จัดการประจำอยู่ที่ศูนย์บริการฮอนด้า สาขาสมุทรปราการ มีบาดแผลถูกกระสุนยิงเข้าที่ท้ายทอยกระสุนทะลุโหนกแก้มซ้าย ในสภาพศพนั่งเอียงไปทางซ้ายเลือดไหลนองเต็มเบาะ สภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวผูกไทสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงขายาวสีน้ำเงิน โดยมือขวาของผู้ตายยังจับพวงมาลัยรถคาอยู่

ส่วนศพที่สอง นั่งอยู่เบาะตอนท้ายด้านหลังคนขับเป็นศพเด็กผู้หญิงทราบชื่อ ด.ญ.ดรัญธร แขรัตน์ อายุ 3 ปี บุตรสาวของนายณรงค์ ถูกกระสุนปืนขนาดเดียวกันยิงเข้าที่กลางแสกหน้าทะลุหลัง เสียชีวิตอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำตาลทั้งชุด โดยที่หลังของเด็กยังสะพายกระเป๋าเป้สีแดงแบบนักเรียนคาอยู่

ศพสุดท้ายคือนายสัญชัย ชัยศิริ อายุ 22 ปี เป็นญาติทางแม่ของคนขับ เสียชีวิตอยู่ที่นั่งเบาะหลังติดกับประตูซ้าย ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สโตร์อยู่ที่เดียวกันกับคนขับ ถูกยิงเข้าที่โหนกแก้มขวาทะลุหลัง ในสภาพนั่งอยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินทั้งชุด ทั้งหมดมีบ้านพักอยู่ในหมู่บ้านเอื้อพัฒนา เลขที่ 202 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

จากการตรวจสภาพศพทั้ง 3 ราย พบว่า ถูกกระสุนปืนขนาดเดียวกันยิงในลักษณะเผาขนโดยทุกศพมีคราบเขม่าดินปืนติดอยู่ทุกศพ ภายในรถพบอาวุธปืนขนาด 9 มม.รุ่นสมิท ทะเบียน 3606139 ตกอยู่ที่ตัก ด.ญ.ดรัญธร ปลอกกระสุนยิงแล้ว 1 ปลอก หัวกระสุน 1 หัว และลูกกระสุนที่ยังไม่ยิงอีก 3 นัด เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ยังทราบว่ามีผู้รอดชีวิต 1 คน ทราบชื่อนายยงยุทธ แขรัตน์ อายุ 27 ปี เป็นน้องชายผู้ตายแต่ยังตามตัวไม่พบ

สอบสวน นางจงกล แขรัตน์ อายุ 30 ปี ภรรยาผู้ตาย กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ก่อนเกิดเหตุตน และสามี ได้ขับรถออกจากที่พักในหมู่บ้านเอื้อพัฒนาเพื่อจะไปทำงาน โดยตนขับรถเก๋งนำหน้า ส่วนสามีเป็นคนขับรถคันเกิดเหตุตามหลัง โดยมีบุตรสาวนั่งคู่มาเบาะหน้าคู่กับสามี ส่วนเบาะตอนหลังด้านซ้ายเป็นญาติทางแม่สามีนั่งมา และน้องชายผู้ตายชื่อนายยงยุทธ นั่งด้านหลังคนขับ โดยสามีจะขับรถไปส่งบุตรสาวที่โรงเรียนประภามนตรี 2 หลังโรงพยาบาลวชิระปราการ เขตปากน้ำ ก่อนจะกลับมาทำงาน

"ขณะมาถึงที่เกิดเหตุฉันได้เลี้ยวรถมุ่งหน้าไปสีแยกศรีเทพา ก็ไม่พบว่ารถสามีขับตามมา จึงได้เลี้ยวรถกลับไปดู กระทั่งพบว่าสามี บุตรสาว และญาติ ถูกยิงเสียชีวิตตายคารถหมดแล้ว มีเพียงน้องชายผู้ตายได้หายไป" นางจงกล กล่าว

ต่อมา พล.ต.ต.สุวิระ ได้รับแจ้งว่า นายยงยุทธ ได้เข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพี่ชายถูกยิง จึงได้สั่งการให้นำตัวไปสอบสวน โดยนายยงยุทธ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุมีคนร้าย 1 คนเดินมาที่รถ พร้อมกับเปิดประตูจากทางด้านซ้ายและใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในรถ ทำให้พี่ชาย หลานสาว และญาติอีกคนเสียชีวิต ส่วนตนเองวิ่งหนีรอดออกมาได้

อย่างไรก็ตามนายยงยุทธ ให้การมีพิรุธหลายอย่าง ทางพนักงานสอบสวนจึงซักถามหนักเข้าจนกระทั่งยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้ง 3 ส่วนสาเหตุที่ยิงนั้นเพราะมีความโกรธแค้นเนื่องจากเมื่อปี 2546 ตนมีปากเสียงกับพี่สะใภ้ซึ่งเป็นภรรยาของพี่ชายอย่างรุนแรง จนพี่ชายได้นำอาวุธปืนดังกล่าวออกมายิงขู่ตน

นายยงยุทธ กล่าวว่าจากนั้นได้เก็บความแค้นมาโดยตลอด กระทั่งได้แอบขโมยปืนพี่ชายมาเก็บไว้ โดยพี่ชายได้เข้าแจ้งความอาวุธปืนหายที่ สภ.อ.บางพลี เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2546 จนวันเกิดเหตุตนได้แกล้งขออาศัยรถมาลงตรงแยกจุดเกิดเหตุโดยอ้างว่าจะไปหาเพื่อน ระหว่างที่พี่ชายจอดรถเปิดไฟกะพริบให้ลง ตนจึงชักปืนจากเอวออกมายิงพี่ชายก่อน

"ขณะนั้นหลานสาวได้ร้องตะโกนเรียกชื่อเล่นผมว่าอาโจ พร้อมลุกเข้ามาจับมือผมๆ จึงยิงใส่หน้าหลานสาวไปอีก 1 นัด เพราะกลัวจะจำหน้าได้แล้วนำเรื่องไปบอกแม่ และได้ยิงใส่ญาติอีกคน พร้อมได้นำศพหลานสาวมาไว้ที่เบาะหลังคนขับ ก่อนเปิดประตูหลบหนีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน และบอกกับแม่ว่าพี่ชายถูกยิงตายแล้ว จากนั้นจึงเข้าแจ้งความ กระทั่งถูกจับกุม" นายยงยุทธ กล่าว

ขณะที่ พล.ต.ต.สุวิระ กล่าวว่า จากการสอบปากคำนายยงยุทธ หลังจากเกิดเหตุ พบว่าให้การขัดแย้งกับสภาพที่ตำรวจพบในที่เกิดเหตุ เพราะนายยงยุทธระบุว่า มีคนร้ายเปิดประตูและใช้ปืนยิงเข้ามาในรถยนต์ ซึ่งตรวจสอบแล้วพบข้อขัดแย้ง เนื่องจากตรวจพบประตูรถทั้ง 3 ด้านถูกล็อกไว้ทั้งหมด เป็นการล็อกแบบเซ็นทรัลล็อก ซึ่งระบบนี้รถจะถูกล็อกทั้งหมด 4 ด้าน ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายจะมาจากด้านนอก

"ตรวจสอบบาดแผลของผู้ตายทั้งหมด พบว่าถูกยิงในระยะกระชั้นชิด มีวิถีการยิงอยู่ภายในรถ และเมื่อได้ตรวจสอบประวัติของนายยงยุทธพบว่า เคยเข้ารับการรักษาอาการทางประสาทที่โรงพยาบาลยุวเวช และมีประวัติเคยติดเฮโรอีนมาก่อน โดยพี่ชายและพี่สะใภ้เคยต่อว่าให้เลิกมาตลอด จนภายหลังทางบริษัทอีซูซุได้ให้ออกจากงานมาพักอยู่ที่บ้าน ก่อนมีปากเสียงและได้ก่อเหตุดังกล่าว" พล.ต.ต.สุวิระ กล่าว

พล.ต.ต.สุวิระ กล่าวอีกว่า สำหรับนายยงยุทธนั้น เท่าที่พูดคุยตอนนี้พบว่ายังคงมีสติสัมปชัญญะ ถามตอบรู้เรื่อง เบื้องต้นแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ซึ่งมีโทษสูงถึงประหารชีวิต อย่างไรก็ตามจะส่งตัวผู้ต้องหาไปตรวจอาการทางประสาทอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายยงยุทธมายังที่เกิดเหตุ เพื่อชี้จุดประกอบคำรับสารภาพ ในขณะที่ยังไม่มีการเคลื่อนย้ายศพทั้งสามออกจากรถ ท่ามกลางเสียงด่าทอของประชาชน ถึงการกระทำอันโหดร้าย โดยมีนางลาวัลย์ แขรัตน์ อายุ 58 ปี แม่ของผู้ตาย น.ส.ตุ๊กตา พี่สาวผู้ตาย รวมถึงบรรดาญาติๆ และเพื่อนร่วมงานของผู้ตายเดินทางมาดูในที่เกิดเหตุด้วย

โดย น.ส.ตุ๊กตา พูดพลางร้องไห้ไปด้วยว่า "ขอดูหน้าหลานที่ตายหน่อย เป็นฝีมือโจจริงๆ เหรอ โจไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับใคร" ขณะที่นางลาวัลย์ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยไม่สามารถให้สัมภาษณ์ใดๆ ได้