Article 27


ตัดขาตำรวจเหยื่อระเบิด ครูนราฯแห่ซ้อมยิงปืน

ผกก.สุไหงปาดี เชื่อคนร้ายวางบึ้มใต้ม้านั่งหินอ่อน ก่อนดักซุ่มรอแล้วกดรีโมทหมายสังหารหมู่ตำรวจ เผยจุดเกิดเหตุเป็นจุดพักผ่อนของชาวบ้าน-ตำรวจ

 

ชี้หากเกิดช่วงกลางวันเจ็บตายอื้อแน่ เหยื่อบึ้มเผยนั่งไม่ถึง 5 นาทีเจอแจ็คพอต ชาวบ้านผวาบึ้มซ้ำอีก แจ้นโทรเรียก ตร.กู้ระเบิด หลังพบกล่องเหล็กสีดำต้องสงสัยวางใต้ที่นั่งศาลาริมทางใน อ.บาเจาะ ชุดเก็บกู้ตัดสินใจยิงทำลาย ที่แท้แค่เครื่องมือซ่อมไฟฟ้า ชาวบ้านกลัวถึงขั้นไม่กล้านั่งเล่นตามที่นั่งสาธารณะอีก ขณะที่ประธานครูสตรีเมืองนราธิวาสจี้รัฐคลอดสวัสดิการพิเศษ จัดซื้อ "ปืนเอื้ออาทร"

 

กรณีคนร้ายลอบวางระเบิดชนิดแสวงเครื่องไว้ใต้ม้าหินอ่อน จุดแวะพักของสายตรวจจักรยานยนต์ชุดไทเกอร์ สภ.อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองห่างจาก สภ.อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ประมาณ 500 เมตร เมื่อคืนวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา จนทำให้ตำรวจชุดสายตรวจที่มาดักซุ่มในจุดดังกล่าว กลายเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัวจำนวน 5 นายนั้น

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ตำรวจชุดสืบสวนคดีระบุว่า จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุตำรวจสายตรวจรถจักรยานยนต์ชุดเคลื่อนที่เร็วดังกล่าว ซึ่งมี จ.ส.ต.ธีรภัทร หงษ์สิทธิพันธ์ เป็นหัวหน้าชุด ปกติจะดูแลความปลอดภัยที่บริเวณสถานีรถไฟสุไหงปาดี แต่ในคืนเกิดเหตุมีการตั้งด่านสกัดบริเวณสามแยกหน้าโรงเรียนมัธยมสุไหงปาดี ตำรวจชุดดังกล่าวจึงมานั่งซุ่มที่บริเวณม้าหินอ่อนดังกล่าว เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเสริมทีมหากเกิดเหตุร้าย

ตำรวจยังเชื่อว่า คนร้ายที่ลงมือก่อเหตุครั้งนี้ทราบข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะมานั่งในจุดดังกล่าวเป็นประจำ จึงลักลอบนำระเบิดชนิดแสวงเครื่องมาวางไว้ เมื่อมานั่งได้ประมาณ 5 นาทีก็เกิดระเบิดขึ้นทันที ทำให้มีตำรวจบาดเจ็บถึง 5 นาย ส่วนหัวหน้าชุดที่นั่งห่างออกไปไม่ได้รับอันตรายมากนัก

หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.คเชนทร์ คชพลายุกต์ รักษาการ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส เดินทางมาตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมสั่งเคลียร์พื้นที่ที่เกิดเหตุทันที เพราะเกรงว่าจะมีระเบิดซุกไว้อีก พร้อมกันสื่อมวลชนและผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณ จากการเคลียร์พื้นที่พบเศษโทรศัพท์มือถือ ลูกปลาย สายไฟ และเศษม้าหินอ่อนเกลื่อนทั่วบริเวณ

เช้าวันเดียวกัน พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงษ์ รักษาการ ผบช.ภ.9 พร้อมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง เดินทางไปเยี่ยมตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งย้ายจาก รพ.สุไหงปาดี ไปที่ รพ.สุไหงโก-ลก พร้อมนำกระเช้าดอกไม้และเงินจำนวนหนึ่งมอบให้เป็นกำลังใจ

พล.ต.ท.มาโนช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตำรวจบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตัดขา 1 นาย ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก ซึ่งจะนำเงินกองทุนสวัสดิการมาช่วยเหลือเบื้องต้นไปก่อน ส่วนสิทธิประโยชน์อื่นๆ จะตามมาในภายหลัง

รักษาการ ผบช.ภ.9 กล่าวถึงสาเหตุที่คนร้ายพยายามก่อเหตุรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจำเป็นต้องปรับแผนมากขึ้นเช่นกัน พร้อมกำชับให้ตำรวจเพ่งเล็งกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตามสถานบันเทิงต่างๆ ก็จะต้องกวดขันตามระเบียบกฎหมายมากขึ้น นอกจากนั้นจะต้องมีจุดตรวจตลอดเวลา

 

ส.ต.ต.เผยนาทีบึ้ม

ขณะที่ ส.ต.ต.จตุรงค์ พัฒนา หนึ่งในตำรวจที่บาดเจ็บโดนสะเก็ดระเบิดที่บริเวณขาขวา ข้อเท้า และใบหน้า เล่านาทีระทึกช่วงเกิดเหตุว่า ตามปกติตนจะตรวจดูแลความปลอดภัยที่บริเวณสถานีรถไฟสุไหงปาดี โดยจุดที่เกิดเหตุไม่เคยมานั่ง 2 เดือนแล้ว แต่คืนเกิดเหตุมาดักซุ่มเพื่อช่วยสกัดคนร้ายในที่มืด มาด้วยกันทั้งหมด 6 นาย ใช้ปืนเอชเคเป็นอาวุธประจำกาย

"ผมนั่งที่ม้าหินอ่อนกับเพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกัน 4 นาย ส่วนหัวหน้าชุดและเพื่อนอีกคนนั่งม้าหินอ่อนตัวถัดไป พอผมนั่งได้สัก 5 นาที ก็ได้ยินเสียงดังแป๊ก จากนั้นก็เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น แต่ละคนกระเด็นไปคนละทิศทาง ผมรู้สึกชาที่เท้าจากนั้นก็พบว่าถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว" ตำรวจเหยื่อระเบิดเล่าเหตุการณ์

สำหรับรายชื่อตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ประกอบด้วย ส.ต.ท.เทวา ไกรทอง มีบาดแผลเล็กน้อยที่บริเวณขา ส.ต.ต.อำนาจ จงกลพืช ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณขาซ้าย และตาด้านซ้าย ส.ต.ต.ชลอ อาสาชำนาญ บาดเจ็บที่บริเวณต้นขาขวา ส.ต.ต.มงคล บุญมาทาน บาดเจ็บที่ขาขวา และ ส.ต.ต.จตุรงค์ พัฒนา ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาขวา ข้อเท้า และใบหน้า

 

เชื่อคนร้ายหมายสังหารหมู่ตำรวจ

พ.ต.อ.ต่วนอิสมาแอ ดาโอ๊ะมารียอ ผกก.สภ.อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เปิดเผยว่าที่เกิดเหตุเป็นที่มืด ซึ่งปกติไม่มีไฟส่องสว่าง แต่เมื่อตำรวจที่เข้าไปนั่งคนหนึ่งใช้ไฟฉายส่องดูในบริเวณดังกล่าวก็เกิดระเบิดขึ้นทันที ซึ่งการก่อเหตุดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการหวังผลต่อชีวิตตำรวจอย่างแน่นอน

ผกก.สภ.อ.สุไหงปาดี ระบุด้วยว่า จุดที่เกิดเหตุโดยปกติหากเป็นช่วงกลางวันจะมีชาวบ้านและตำรวจที่เมื่อยล้าจากการออกตรวจมานั่งพักผ่อนเป็นประจำ เพราะถือเป็นที่พักผ่อนที่ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกข้าง รพ.สุไหงปาดี แต่ช่วงค่ำจะไม่มีคนพลุกพล่าน จึงเชื่อว่าคนร้ายได้วางระเบิดไว้แล้วดักซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียง ก่อนใช้วิธีกดรีโมทจนระเบิด ซึ่งวิธีการดังกล่าวถือว่าอันตรายและน่ากลัวมาก

ชาวบ้านผวาบึ้มซ้ำอีก

เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 17 มิ.ย. ตำรวจ สภ.อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุพบกล่องเหล็กสีดำต้องสงสัยคล้ายเป็นการวางระเบิด ที่บริเวณใต้ที่นั่งศาลาริมทาง ถนนสายนราธิวาส-ปัตตานี ช่วงบ้านสะแต ต.บาเจาะ อ.เบาเจาะ ติดกับปั๊มน้ำมันสหกรณ์รถยนต์บาเจาะ จนทำให้ชาวบ้านในละแวกดังกล่าวแตกตื่นไปตามๆ กัน

หลังรับแจ้งกำลังตำรวจพร้อมชุดเก็บกู้ระเบิดเดินทางไปตรวจสอบ โดยได้ใช้เครื่องยิงระเบิดเข้าใส่กล่องดังกล่าว แต่ปรากฏว่าภายในกล่องเหล็กสีดำไม่มีระเบิดใดๆ อยู่ พบเพียงเครื่องมือและอุปกรณ์ช่างซ่อมไฟฟ้าอยู่ภายในจำนวนมาก จึงเก็บไปตรวจสอบที่ สภ.อ.บาเจาะ เพื่อสืบหาเจ้าของต่อไป

หลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ม้าหินอ่อนข้าง รพ.สุไหงปาดี นั้น จากการสอบถามชาวบ้านในหลายๆ พื้นที่พบว่า เกิดความหวาดผวาอย่างหนัก ถึงขั้นหลายรายต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่นั่งตามที่นั่งสาธารณะ รวมทั้งม้าหินอ่อนที่วางไว้ตามจุดต่างๆ แล้ว เพราะเกรงคนร้ายจะซุกระเบิดซ้ำอีก

 

อดีตแม่ทัพชี้รัฐไม่มีเจ้าภาพดูแล พท.ชัดเจน

พล.อ.กิตติ รัตนฉายา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุการณ์ลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รายวัน ว่าสิ่งเร่งด่วนที่รัฐต้องควบคุมคือ พิทักษ์ประชาชนและควบคุมฆาตกรที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 0.5 ซึ่งเป็นหน้าที่ของทหาร ตำรวจ และพลเรือน ที่จะต้องมีมาตรการเข้มในการเฝ้าตรวจ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการบังคับประชาชน เช่น ทุกคนต้องพกบัตรประจำตัวประชาชน ทำตามที่กฎหมายกำหนด แม้แต่กฎอัยการศึกหากไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ไม่น่าจะประกาศออกมา เมื่อมีการเฝ้าตรวจเข้มมั่นใจว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น

อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การสกัดกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่เดินทางเข้ามา โดยจะต้องตรวจเข้มตามแนวตะเข็บชายแดน เพราะแม้จะมีทหารดูแลอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เพียงพอ ซึ่งหากดูแลไม่ได้ก็เท่ากับว่ามาตรการใช้ไม่ได้ผลและจะเกิดเหตุรายวันต่อเนื่อง

"หากจะแก้สถานการณ์ใต้เวลานี้ ต้องทบทวนว่าใครเป็นเจ้าภาพที่แท้จริงดูแล 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะผู้ปฏิบัติยังไม่ทราบ ผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติงานไม่ได้ผล ดังนั้น จะให้ชาวบ้านมาให้ความร่วมมือคงยาก เวลานี้ขบวนการโจรก่อการร้ายมีอยู่ร้อยละ 0.5 ขณะที่ประชาชนคนดีในพื้นที่มีร้อยละ 99.5 ภาครัฐต้องแย่งคนดีกลับคืนมา เมื่อไม่มีความชัดเจนจากรัฐ คนดีก็ไม่กล้าที่จะให้ความร่วมมือเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถป้องกันตนเองได้" ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าว

 

จี้รัฐคลอดสวัสดิการจัดซื้อ "ปืนเอื้ออาทร"

กระแสการซื้อปืนและขอใบอนุญาตพกปืนของครูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็นประเด็นที่มีการหยิบยกมาพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของครูผู้หญิง เพราะเกรงกันว่าอาจจะเป็นดาบสองคมที่จะไปเข้าทางคนร้ายได้ ล่าสุดครูผู้หญิงบางส่วนก็เริ่มทยอยเข้าสนามซ้อมฝึกยิงปืนกันล่วงหน้าบ้างแล้ว

นางสุดสาย บุญช่วย ประธานสมาพันธ์ครูสตรีจังหวัดนราธิวาส ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเข้ามาดูแลเรื่องสวัสดิการพิเศษ หรือจัดงบพิเศษในการจัดซื้อปืนให้กับครูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออาจจะใช้วิธีจัดงบซื้อปืนให้ก่อนแล้วผ่อนทีหลัง โดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อจัดซื้อปืนไว้ป้องกันตัวในลักษณะของปืนเอื้ออาทร เนื่องจากเป็นภาระเร่งด่วนของครูในพื้นที่ เพราะขณะนี้ครูส่วนใหญ่มีความลำบาก หากต้องซื้อปืนก็จะทำให้เพิ่มภาระมากขึ้นและปืนก็มีราคาแพงมาก

ในส่วนของครูผู้หญิงที่จะขอพกปืนด้วยนั้น นางสุดสายบอกว่า นับเป็นโอกาสดีอย่างหนึ่งของครู เพราะภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าครูหญิงหรือชายต่างตกอยู่ในอารมณ์เดียวกันทั้งหมด คือ มีความหวาดผวา ดังนั้น หากมีปืนติดตัวอยู่บ้างก็จะทำให้อุ่นใจและมั่นใจมากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ต้องมองแบบเหรียญ 2 ด้านด้วย มิใช่มองว่าครูสตรีอ่อนแอเพียงอย่างเดียวเพราะสตรีสมัยนี้ถือว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ดังนั้น การที่มองกันว่าคนร้ายอาจจะมาแย่งชิงปืนไปนั้น คิดว่าก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งครูชายและหญิง หากเกิดความสะเพร่า จึงคิดว่าน่าจะขึ้นกับตัวบุคคลมากกว่า

นางสุดสาย ระบุด้วยว่า การพกปืนดังกล่าวก็ไม่น่าจะมีผลใดๆ กับเด็กนักเรียน เพราะเมื่อได้ปืนมาแล้วครูก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้นักเรียนหรือใครรู้ ที่สำคัญจะต้องใส่กระเป๋าพกพาให้มิดชิด หรือหากใครจะพกติดตัวก็ต้องใส่เสื้อคลุมให้มิดชิดด้วย

"คงไม่มีใครอยากให้เด็กรู้ว่าครูพกปืน ถือเป็นเรื่องที่ต้องปิดเป็นความลับกันอยู่แล้ว และไม่ควรสะเพร่าถึงขั้นปล่อยเด็กนักเรียนหยิบไปเล่นได้ เชื่อว่าคงไม่เกิดเช่นนี้ขึ้น" ประธานสมาพันธ์ครูสตรีจังหวัดนราธิวาส กล่าวและว่า ล่าสุดครูสตรีใน จ.นราธิวาส ต่างเริ่มชวนกันไปฝึกยิงปืนที่สนามยิงปืนกันแล้ว โดยมีการชวนกันไปเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน และส่อเค้าว่าจะมีการทยอยกันไปฝึกยิงปืนมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

ผอ.โรงเรียนติงอย่านำปืนเข้าห้องเรียน

นายอภิสิทธิ์ เลหะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหัวเขา อ.เมือง จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ถูกเผาเมื่อวันที่ 4 ม.ค. กล่าวว่า ครูที่เดินทางมาสอนเด็กไม่จำเป็นต้องพกปืนมาในห้องเรียนเพราะหากเด็กเห็นแล้วอาจจะเกิดความกลัว หรือบางครั้งหากครูเก็บไม่มิดชิดอาจจะเกิดอันตรายได้ ดังนั้น หากจำเป็นต้องพกก็ให้เก็บไว้ที่รถหรือใช้เฉพาะระหว่างเดินทางไปกลับเท่านั้น

ไม่ต่างจากนางรัตนา ดอเลาะ ครูโรงเรียนเดียวกัน ที่มองว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ครูจะพกปืนมาสอนในห้องเรียน ตนในฐานะครูไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เด็กกลัว บางคนไม่กล้าเข้าใกล้ครู และอาจไม่กล้ามาโรงเรียนได้

"โดยส่วนตัวแล้วฉันว่าไม่จำเป็นต้องพกมาในโรงเรียน เพราะมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ดูแลทั้งในโรงเรียนและช่วงไปกลับ จึงไม่จำเป็นต้องซื้อปืน" นางรัตนา ระบุ

 

เด็กวอนกลัวถูกลูกหลง

ด.ญ.มิวรรณานา สุขเต๊ะ นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านหัวเขา กล่าวว่า ไม่อยากให้ครูพกปืนมาสอนที่โรงเรียนและนำเข้าห้องเลย เพราะกลัวมาก และเพื่อนๆ ก็กลัว ที่ผ่านมาแค่เห็นข่าวในทีวีก็กลัวแล้ว จึงอยากวิงวอนครูว่าอย่าพกปืนมาสอนในห้องเนื่องจากเกรงว่าถ้าคนร้ายมายิงในโรงเรียน จะทำให้เด็กโดนลูกหลงได้ และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ก็ดูแลความปลอดภัยให้อยู่แล้ว นอกจากนั้นเด็กบางคนก็ซน อาจเผลอเล่นปืนของครูก็จะทำให้ได้รับอันตรายได้

น.ส.นูริเยาะ มูนีเราะ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเช่นกัน โดยมองว่าอาจจะเป็นดาบสองคม หากครูนำมาไว้ป้องกันตัวก็ไม่เป็นไร แต่บางคนที่ไม่ค่อยดีนักก็อาจจะนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องแล้วโยงมาในเรื่องสถานการณ์ปั่นป่วนในภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ ควรให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและทหารในการดูแลความปลอดภัยจะดีกว่า

ขณะที่นางวาณี โสภณรัตนโภคิน ผู้ปกครองของนักเรียนใน อ.สุไหงโก-ลก ยืนยันว่า ปกติคนที่พกปืนจะต้องใช้ปืนเป็น รวมถึงยิงปืนเป็นอย่างจริงจังด้วย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะพกปืนก็ได้ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด

 

เผยข้อมูลกรณีกรือเซะขัดแย้งหนัก

นายสุจินดา ยงสุนทร ประธานคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ กล่าวว่า คณะกรรมการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงไปได้ประมาณร้อยละ 60-70 คาดว่าจะสามารถสรุปผลการสอบสวนได้ภายในเดือน มิ.ย. นี้ก่อนที่จะเสนอรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในเดือน ก.ค.ต่อไป อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเขียนรายงานสรุปผลการสอบสวนค่อนข้างยาก เนื่องจากข้อมูลที่แต่ละฝ่ายให้มามีความขัดแย้งกัน ดังนั้น จะต้องมาพิจารณาถึงเหตุผลว่าอันไหนถูก อันไหนผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก และคณะกรรมการยังไม่ได้มีการวินิจฉัยแต่อย่างใด

 

"จิ๋ว" เตรียมรื้อโครงสร้าง จนท.รัฐ

เมื่อเวลา 13.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณี พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร รมว.กลาโหม จะปรับแผนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้เป็นเชิงรุกมากขึ้นว่า ตนยังไม่ทราบ เมื่อคืนวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.เชษฐา ก็โทรศัพท์มาหาแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรายวันนั้น เจ้าหน้าที่ต้องมีการวางมาตรการที่เข้มข้นขึ้น เป็นกระบวนการยุทธวิธีให้ดีขึ้น แต่ก็ต้องเหนื่อยกันมากขึ้น ทั้งนี้ คิดว่าทำอย่างไรถึงจะรื้อโครงสร้างเจ้าหน้าที่รัฐแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่ถืออำนาจรัฐในภาคใต้อยู่ ก็ต้องค่อยๆ ปรับปรุงให้ดีขึ้น

“มีการพูดจากันว่า เอาลูกหลานของคนภาคใต้มาทำหน้าที่ให้เขาดูและรู้กันเองว่าเป็นอย่างไร เอามาอบรม เพราะคนดีก็มี ก็จะได้เห็นชัดเจนขึ้น เพราะบางทีเอาคนจาก จ.ลำพูน ไปอยู่ จ.ยะลา ก็อาจจะมีปัญหา และก็ให้เราลงไปช่วยให้แนวทางที่ถูกต้อง” พล.อ.ชวลิต กล่าวและว่า ยังมีแนวคิดใหม่ๆ ในการจัดตั้งศูนย์เยาวชนประจำตำบล อำเภอ และจังหวัด เพื่อจะได้เป็นแหล่งรวมของเยาวชนในการหาความรู้มาเล่นกีฬา ศึกษาเพิ่มเติม โดยได้รับการอบรมในลักษณะการเสริมสร้างระเบียบวินัย มาอบรมทางด้านศาสนาในแนวทางที่ถูกต้องและดีขึ้น ซึ่งก็จะขอความร่วมมือจากโต๊ะครู และโต๊ะอิหม่ามในพื้นที่มาช่วยอีกทางหนึ่ง

 

"เสธ.หนั่น" แนะรัฐตั้งต้นใหม่

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมว.มหาดไทย กล่าวถึงปัญหาภาคใต้ที่รัฐบาลจะนำมาตรการขั้นเด็ดขาดมาใช้ว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังมีอยู่ จึงต้องหาทางป้องกัน เพราะขณะนี้เด็กหนุ่มที่อยู่ในขบวนการดังกล่าวไปฝึกมาจนเชี่ยวชาญแล้ว ถือว่าสายเกินไปที่จะแก้ไข ดังนั้น จะต้องมาตั้งต้นใหม่ ทบทวนว่านโยบายที่ดำเนินการไปแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งหากไม่หวนกลับมาพิจารณาเรื่องศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) การหาข่าวในพื้นที่ได้ก็น้อยลง