เมืองหลวง
|
The Capital
|
ก็ผ่านไปอีกวันผมคิดขณะเก็บของบนโต๊ะเดินออกจากที่ทำงาน ตรงดิ่งไปที่ป้ายรถเมล์
ผมอ่อนเพลียละเหี่ยใจเกินกว่าจะเดินทอดน่องมองบรรยากาศรอบๆตัวไม่มีอะไรน่าสนใจให้มองอยู่แล้ว
มันก็เหมือนกันทุกวันเวลาเลิกงานมีแต่ผู้คนพลุกพล่านไปมาสีหน้าบอกบุญไม่รับกันทั้งนั้น |
Another day gone. . . . .I mused as I cleared my desk,
walked out of the office and headed for the bus-stop. I was much too exhausted to
direct my attention to anything around me. There was nothing interesting to look at
anyway. It was always the same every day at rush hour; crowds of people -- a sea of
indifferent faces.
|
ผมชะงักนิดหนึ่งตรงบริเวณก่อสร้างตึกแถวแห่งใหม่
มีก้อนหินขนาดไม่เล็กนักก้อนหนึ่งหล่นมาตรงหน้าผม
ถ้าผมเดินเร็วกว่านี้อีกนิดเดียว มันก็อาจจะหล่นมาลงบนหัวผม
หินก้อนแค่นี้คงจะแค่โนไม่ถึงแตก
ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นคนงานกำลังทำงานกันวุ่นวายอยู่ไม่มีใครสนใจว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งเพิ่งจะหล่นเฉียดหัวผมไป |
I stopped for a moment at a construction
site of a new row of shophouses -- a rather large stone had just fallen at my
feet. Had I been walking a trifle faster, it would have fallen on my head.
A stone this size would merely have caused a lump; no real harm. I looked up
and saw the workers deeply involved in their work, noone having noticed that a stone had
just narrowly missed my head.
|
ลมฝนทำท่าจะมาฟ้ามืดครึ้ม ผมเร่งเท้าขึ้นอีก
อยากจะกลับถึงที่พักก่อนฝนตกแต่คงไม่มีทาง
เอาแค่ขึ้นรถเมล์ไ้ด้ก่อนฝนตกก็ดีแล้ว |
A wind brought signs of rain; the sky
darkened. I quickened my pace, wanting to be at the lodgings before the rain, but it
seems impossible. It would be good enough if I could only get on the bus before it
poured. |
ผู้คนแน่นขนัดที่ป้ายรถเมล์เหมือนเคยไม่มีใครเอาใจใส่ใครที่มาเป็นกลุ่มก็ยืนคุยกันพลางมองรถเมล์ที่วิ่งมาเข้าป้ายไปพลาง
ที่มาคนเดียวแบบผมก็ยืนมองทางที่รถเมล์จะวิ่งมาอย่างเอาใจใส่
ผมนึกภาวนาในใจให้รถเมล์คันที่ผมจะขึ้นว่างสักหน่อย |
The bus-stop was crowded as usual. Noone
paid any attention to anyone else. Those with friends chatted with each other while
watching the buses that arrived. Those who were alone like me attentively watched
for their buses. I prayed that my bus would not be too crowded |
ก็ภาวนาไปอย่างนั้นแหละดีกว่าอยู่เปล่าๆแน่ะ....แน่นขนัดยัดทะนานมาทีเดียว |
Well, I knew it's not possible, but I prayed
anyway, better than doing nothing. Here it came. . .packed like a can of sardines. |
ผมเบียดขึ้นไป
ขาข้างหนึ่งยืนได้บนบันได มือหนึ่งหนีบหนังสือไว้กับอก
อีกมือหนึ่งโหนขอบประตูไว้ ผมนึกในใจว่าโชคดีที่ขึ้นรถได้ก่อนฝนจะหล่นลงมา |
I pushed my way up, one foot on the steps, one
hand holding my books close to my chest, the other hand clinging to the door frame.
I felt lucky to be on the bus before it rained. |
รถเมล์เคลื่อนตะกุกตะกักไปเพราะเป็นช่วงเข้าวงเวียน
รถนานาชนิดต่างแย่งกันที่จะจ่อหัวเข้าไปในวงเวียนเพื่อจะไปได้ก่อน
จ่อกันไปจ่อกันมา
รถเก๋งกับรถแท๊กซี่ก็เลยจ่อเข้าไปเกยกับรถยิ่งติดกันนุงนังเพราะไม่มีใครยอมใคร
รถเมล์คันที่ผมโหนกระเสือกกระสนพ้นวงเวียนมาได้ทิ้งความอลเวงไว้ข้างหลังมาติดเหนอะอยู่นิ่งๆอีกทีที่สี่แยกไฟแดง |
The bus jerked its way along into the
circle. Vehicles of every kind converged upon one another to get into the circle
first, and eventually a sedan and a taxi collided in their haste, making the traffic even
worse, as neither would give in. My bus managed to fight its way past the circle,
leaving the confusion behind, only to come to a standstill at the traffic lights.
|
รถติดอยู่นานเสียจนผมต้องลงมายืนบนพื้นถนน เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า
ก็รถจะไปได้ยังไงในเมื่อมันติดไขว้ไปมาสับสนไปหมด
ไฟเขียวแดงอะไรไม่มีความหมายเพราะรถที่ได้ไฟเขียวก็ไปไม่ได้
มีรถติดคาอยู่กลางสี่แยกเป็นแพ รถที่ได้ไฟเขียวนั้นแทนที่จะอยู่นิ่งก่อน
รอให้รถกลางสี่แยกออกได้ไปให้พ้นๆก็ไม่ยอม ต่างคนต่างก็กระดืบเคลื่อนไปจ่อคาไว้
กะว่าเมื่อไหร่ที่คันข้างหน้า หน้าตัวพ้นไปก็จะได้ตาม
ไฟเขียวได้ประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นไฟแดง
ทางฝ่ายไฟแดงเมื่อครู่นี้ก็กลับเป็นได้ไฟเขียวขึ้นมาก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกันคือคลานกระดืบขึ้นมาจ่อคาไว้ |
With such an endless pause, I had to get
off the bus and stand on the street to relax my muscles. How could the cars move
through such a mess? The traffic lights were useless as the cars could not go
through the green light because of cars stuck in the middle of the junction. Instead
of letting those in the middle go first, others tried to nose their ways into the already
jammed intersection, waiting for the moment when the car in front would move forward so
that they could follow suit. Green light, red light, red light, green light; each
still trying to inch its way past.
|
กว่าตำรวจจราจรจะมายักย้ายโบกห้ามโบกให้ไปได้
รถที่ติดคาอยู่กลางสี่แยกนั่น
ก็ดูจะทอดอาลัยไปตามๆกันรวมเวลาที่ติดนิ่งอยู่เฉยๆอยู่ที่สี่แยกนี่เกือบครึ่งชั่วโมง
ผมน่ะอยากจะนอนบนพื้นถนนตรงที่รถติดนั่นเสียเลย เพราะปั้วเปี้ยอ่อนเพลียเต็มที |
By the time the policeman came to conduct the
traffic flow, the cars in the middle had lost hope, having been at a standstill for almost
half an hour. I felt like flopping down on the street from exhaustion.
|
พอรถเคลื่อนไปได้ฝนก็เริ่มลงเม็ดบางๆรถเมล์เคลื่อนเข้าฝ้ายประตูที่ผมโหนอยู่มีคนลงคนเดียวแต่มีคนรอจะขึ้นอยู่เป็นสิบๆคนดังนั้นกว่าคนที่ต้องการลงจะพาร่างพ้นตัวรถได้จึงออกจะทุลักทุเล
เพราะคนที่รอจะขึ้นไม่ยอมหลีกทาง ต่่างเบียดเสียดยัดเยียดจุกเข้าไปที่ประตู |
As the bus inched forward, it began to
drizzle. We came to a bus-stop; one passanger got off, with dozens of people waiting
to get on. The person getting off had a difficult time taking himself out the door
because the people waiting would not make way for him and had jammed the entrance
completely. |
รวมทั้งผมด้วย
ผมไม่ยอมปล่อยมือจากขอบประตูตีนข้างหนึ่งพักไว้บนบันไดผมไม่ต้องการจะพลาดรถแล้วลงมาติดฝนตามชายคาตึก
ขณะที่ยังเบียดเสียดแย่งกันขึ้นอยู่นั้น โชเฟอร์ก็ออกรถ
ผู้คนที่เบียดจุกกันอยู่ที่ประตูเบียดกันเองและโดนรถเบียดซวนเซไปหลายคน
ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งถึงกับล้มลง
ผมเองต้องกระโดดด้วยขาข้างเดียวเขย่งวิ่งตามรถอีกสามสี่หน
กว่าจะเหนี่ยวตัวขึ้นมายืนบนบันได้ได้ |
Including myself! I would not let go
of the door frame, putting one foot on the steps. I didn't want to lose my place on
the bus and get stuck in the rain under some window ledge. As the people were still
in the process of loading and unloading themselves, the bus driver took off, making all
those squashed at the door lose their balance, and causing a middle-aged woman to fall
down. I had to hop on one leg a few times after the bus before I could pull myself
backup on the bottom step. |
ไม่ไหวแล้ว แขนผมล้าเต็มที
ผมพยายามอัดตัวเองเข้าไปในตัวรถเบียดจนขึ้นมายืนบนบันได้ขั้นที่สองได้ฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น
อากาศในรถร้อนระอุเพราะหน้าต่างทุกบานปืดหมด
ผมรู้สึกถึงความเหนียวหนับของทุกส่วน
บนผิวหนังของตัวเองพยายามใช้ไหล่ปาดเหงื่อที่ไหลมาคันยุบยิบอยู่ข้างแก้ม |
It was getting too much for me; my arms were like
jelly. I tried to push my way on to the bus, and succeeded in getting to the second
step. The rain was coming down harder; the bus was very stuffy because all the
windows were closed. Every inch of my skin felt sticky, and I tried to wipe the
sweat trickling down my cheeks with my shoulders |
รถเมล์เข้าป้ายอีกทีหนึ่งมีคนลงสองสามคน
ความที่ฝนลงเม็ดหนาจึงไม่มีคนมาเบียดรอขึ้นแน่นที่ประตู
ผมเบียดตัวเองขึ้นไปยืนข้างบนได้้และพยายามแทรกตัวไปทา่งด้านหลังรถซึ่งมีอากาศให้หายใจมากกว่า
ผู้โดยสารที่โดนเบียดท่าทางไม่ค่อยพอใจแต่ผมไม่สนใจ เขามีสิทธิ์จะไม่พอใจได้
ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลมด้วยความร้อน และความอับอากาศหายใจ
กลิ่นเหงื่อไคลของใครต่อใครรอบๆตัวยิ่งทำให้วิงเ้วียน |
Another bus-stop; a few people got off. As
the rain was getting quite heavy, there were no people crowding at the door. I
edged my way into the bus and tried to move towards the back where there was some
breathing space. The passengers I nudged past seemed quite annoyed, but I didn't
care. They had the right to feel annoyed, though. I felt like fainting because
of the heat and the lack of air. The smell of sweat from all around made me feel
dizzier.
|
ผมรู้สึกหิวข้าว
รถติดมากแทบจะเคลื่อนไปไม่ได้เลย ฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก |
I was hungry. The traffic was so bad that
the cars could hardly move. The rain was pouring down heavily. |
ผมหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนพักหน้าตัวเองไว้บนท่อนแขนข้างที่โหนราวอยู่
ทำไมผมต้องมาลำบากลำบนอะไรอย่างนี้อยู่ในกรุงเทพก็ไม่รู้
ผมน่าจะออกไปอยู่ต่างจังหวัด ผมน่าจะอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด
ตกปลาหาหอยเลี้ยงชีพไปวันๆ |
I closed my eyes wearily, and rested my face on
my arm which was hanging onto the railing. Why I had to stay and suffer like this in
Bangkok I didn't know. I should have lived in the countryside; I should have been
living at home in the countryside, earning my living from day to day. |
ผมอ่อนเพลียมากทีเดียววันนี้เพราะโดนนายใช้ไปธุระหลายแห่งแทบจะขาดใจตาย
ตอนที่รอข้ามทางม้าลายตรงสี่แยกราชประสงค์ผมยืนอยู่กลางเกาะโดนควันจากท่อไอเสียรถยนต์ที่เร่งเครื่องผ่านไปมาเสียจนแทบกระอัก
พยายามกลั้นใจไม่หายใจเอาควันพิษนั้นเข้าไป
แต่กลั้นใจได้อึดเดียวก็ต้องผ่อนลมหายใจออก
พอหายใจครั้งใหม่เข้าไปควันจากท่อไอเสียนี้ไม่มีอ๊อกซิเยนเอาเลย
พอหายใจเข้าไปขณะที่ร่างกายกำลังต้องการอ๊อกซิเยนพอ ผมก็สำลัก หูอื้อ หน้ามืด |
I was really exhasted today, running around town
on errands for my boss. I nearly lost my senses while crossing the road at the
Rajprasong intersection. I was standing on the island in the middle of the road,
being gassed by the exhaust pipes from the cars accelerating past. I tried to hold
my breath so as not to inhale the poisonous gases, but soon had to slowly exhale, only to
breathe in a lungful of fumes belched into my face. I discovered that
exhausting fumes contain no oxygen at all. In my asphyxiated condition, I
choked, my ears blocked, and I felt fainted.
|
ผมอยากกลับบ้านต่างจังหวัดจริงๆอยากกลับมากแต่ผมไม่รู้จะกลับไปทำอะไร
ไม่มีงานอะไรให้ทำ แค่ตกปลาหาหอยอย่างว่าน่ะ ไม่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้หรอก
ถึงยังไงก็ต้องมีเงินซื้อขาวจะไปรับจ้างแบกหามเป็นจับกังโรงสีก็ไม่ไหว
แบกอะไรกับเขาไม่ไหว |
I really wanted to go back home upcountry, very,
very much. But I didn't know what I could do. There was no work there, except
for various odd jobs. I could not survive on that. I needed money to buy food,
but working as a coolie in a rice mill was out of question. I couldn't possibly
lift such heavy loads. |
รถเมล์เคลื่อนไปได้อีกหน่อย
ฝนยังตกและน้ำตามถนนก็เริ่มเจิ่ง รถยิ่งติดหนักเพราะเริ่มมีรถเสีย |
The bus made another lurch forward; it was still
raining, and the streets were beginning to flood. The traffic got worse because some
cars broke down. |
อากาศในรถอ้าวจนบอกไม่ถูก
ทุกคนในรถที่ผมมองเห็นต่างกระสับกระส่าย รถติดอยู่นาน อากาศก็ร้อนอ้าว
ความจริงความเย็นของน้ำฝนน่าจะช่วยได้บ้าง แต่ความที่รถแน่นมาก
หน้าต่างทุกบานปิดหมด ไอตัวของผู้โดยสารก็เลยอบอยู่ในรถ ยิ่งรถติดก็บยิ่งอบ
ร้อนจนผมคิดว่าผมกำลังจะเป็นบ้า |
It was indescribably stuffy in the bus.
Everyone in sight seemed restless. The traffic jam was endless, and it was so
hot. Actually, the rain should have helped to relieve the heat, but since the bus
was so crowded and all the windows were closed, all the passengers baked together in the
bus. The longer the bus stood still, the worse it became. It was so hot that I
thought I was going crazy. |
ขาของผมเมื่อยและผมรู้สึกอยากนั่งเต็มที
ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
เด็กสองคนมากับแม่อยู่ตอนกลางของรถก็ยืนเกาะพนักเก้าอี้อยู่
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้คิดจะลุกให้
ผมไม่โทษเขาหรอกผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าผมได้นั่งตอนนี้
ผมจะลุกให้ใครหรือเปล่า |
My legs were weary, and I wanted to sit
down. No one showed any sign of getting up. Two little boys with their mother
in the middle of the bus had to stand clinging to the back of the seat. The man in
the seat showed no sign of letting them sit down. I didn't blame him; I wasn't sure
whether I would get up for anyone were I to have a seat at this moment. |
ผมพยายามเบียดไปจนได้ยืนอยู่หลังสุดหันหน้าไปทางหลังรถเพื่อจะได้หายใจสะดวกขึ้น
นับเวลาจากที่ผมขึ้นรถเมล์คันนี้มาก็ชั่วโมงหนึ่งแล้ว
ระยะทางยังอีกไกลเหลือเกินกว่าผมจะถึงที่พัก ผมหลับตาอย่างอ่อนระโหย
ถอนใจเหนื่อยหน่ายท้อแท้ |
I inched my way along until I reached the very
back, and stood facing the back of the bus so that I could breathe. I had already
been on this bus for an hour, and there was still a long way to go before I reached
my destination. I closed my eyes wearily, and sighed hopelessly. |
เวลาอย่างนี้แหละที่ผมอยากกลับบ้านต่างจังหวัดและผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้นถึงได้ยัดเยียดกันอยู่ในกรุงเทพ
เพัียงแต่ผมเลือกได้ ผมจะไม่อยู่เมืองใหญ่ที่เลวร้ายอย่างนี้
แต่นั่นแหละคงจะมีใครๆอีกเป็นหมื่นเป็นแสนที่คิดอย่างเดียวกับผมเพียงแต่ว่าเขาจะเลือกได้ |
At times like this, I wanted to go back home
upcountry, and I couldn't understand why everyone had to crowd into Bangkok. If only
I had a choice, I wouldn't stay in this dreadful city. But then there must be
hundreds of thousands of other people who had the same idea and, like me, would have
returned home if they had had the choice. |
รถเมล์กระเสือกกระสนไปถึงป้ายอีกป้ายหนึ่งว่าที่จริงมันก็ถึงมาตั้งนานแล้วละเพียงแต่ว่าไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง
จนกระทั่งโชเฟอร์ขยับรถไปได้อีกครั้งและกระเป๋าตะโกนถามหาคนลง |
The bus continued its painful journey to another
stop. Actually, it had arrived quite a while ago, but no one had noticed until the
bus driver startd to move off, and the conductor called out to ask if anyone was getting
off. |
ผู้ชายที่นั่งอยู่หลังสุดขยับตัวเนื่องจากผมหันหน้าไปทางหลังรถผมจึงสังเกตเห็นก่อนใครผมนึกขอบคุณ
เขาอยู่ในใจขณะที่เขาลุกขึ้นอย่างลำบากเพราะไม่มีที่ว่างพอที่จะให้เขาทรงตัวขึ้นได้ง่าย
เขาต้องเท้าพื้นเก้าอี้ไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและใช้อีกมือหนึ่งขึ้นไปคว้าราวไว้ |
A man right at the back moved. Since I was
facing the back, I saw him before anyone else. I thanked him silently while he was
struggling to get up as there was no room for him to stand upright easily. He had to
hold on to the back of the seat with one hand while reaching for the rail with the other. |
ผมแยงขาเข้าไปจองที่ไว้ก่อนเพราะมีใครแถวนั้นอีกสองสามคนที่ขยับตัวและทำท่าจะเข้ามานั่ง
ผมรู้สึกเสียใจแทนสองสามคนนั่น แต่ขออภัยเถิดขอผมนั่งก่อนเถิด ผมไม่ไหวแล้ว
ผมกำัลังจะเป็นลมด้วยความเมื่อย ความเหนื่อยและความหิวบวกกับความอ่อนเพลีย |
I stuck my foot out to take the seat because a
few others had moved with the same intention. I felt sorry for them, but then again,
I did need to sit down. I've had enough. I felt ready to faint from
weariness, hunger and exhaustion.
|
ผมนั่งลง
หงายหน้าไปจนต้นคอพาดกับพนักเบาะตั้งใจว่าจะหลับแต่หลับไม่ลง
มันร้อนเหงื่อซึมจนชุ่มเสื้อและรู้สึกเหนอะหนะตามขาเพราะอบอยู่ในกางเกงยีนหนา |
I sat down and leaned back against the seat,
intending to sleep but couldn't. It was so hot that I was sweating profusely and my
legs felt sticky in my thick jeans. |
เมื่อหลับไม่ได้ผมจึงนั่งตัวตรงวางหนังสือไว้บนตัก
หลับตาภาวนาให้รถเคลื่อนที่ไปได้เร็วๆ
ความอึดอัดจากความร้อนและกลิ่นเหงื่อไคลนั้นเหลือจะบรรยาย
ผมรู้สึกตัวเองเป็นเหมือนนักโทษที่โดนเขาจับยัดมาในรถ
เพื่อพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแห่งไหนก็ไม่รู้ แต่คงจะไม่ใช่ที่ดีนักหรอก |
Since I couldn't sleeep, I sat upright, put my
books on my lap, closed my eyes and wished that the bus would get a move on quickly.
The suffocation from the heat and the sweat was indescribable. I felt like a
prisoner being packed into the bus and transferred to some unknown and most likely
undesirable destination. |
โอย....ผมครางอยู่ในใจ
รถเมล์เคลื่อนไปได้อีกพักหนึ่งแล้วก็ติด |
I whimpered silently. The bus moved another
inch and stopped. |
คนที่นั่งเก้าอี้หลังสุดตัวเดียวกับผมมีเจ็ดคน
ผมสังเกตดูหน้าตาแต่ละคนแล้วคิดว่าคงไม่มีใครมีความรู้สึกต่างจากผม
ผมนั่งเป็นคนที่สามนับจากด้านติดประตู
คนที่นั่งริมสุดด้านนั้นเป็นผู้ชายหน้าตาท่าทางเซ่อๆบอกว่ามาจากบ้านนอก
อาจจะมากรุงเทพได้ไม่นาน คงจะเป็นพวกอีสาน หน้าตาเขามีเค้าให้เดาเช่นนั้นได้
เขาปลดกระดุมเสื้อออกมาสามเม็ด เห็นอกเป็นแผง เหงื่อจับเป็นมันทีเดียว
ท่าทางเขาล่ำสันดี น่ากลัวจะเข้ามาทำงานก่อสร้าง
ผมคิดเรื่อยเปื่อยอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี |
There were seven passengers on the back
seat with me. I studied their faces and saw that they all felt the same as I.
I was the third from the door. The first one was a man, with a blank look on
his face that reflected his upcountry background -- probably new to Bangkok. From
his face, I guessed he may be from the Northeast. He unbuttoned his shirt, revealing
his chest which glistened with sweat. He was quite sturdy and well-built. . . a
construction worker, I aimlessly thought with nothing better to do.
|
คนถัดมานั่งติดกับผมเป็นผู้ชายเหมือนกันหน้าตาท่าทางคล้ายๆผม
น่าจะทำงานบริษัทเป็นพนักงานชั้นผู้น้อยเหมือนผม
คนที่นั่งเลยผมไปเป็นหญิงนุ่งผ้าซิ่น
อาจจะเป็นแม่ค้าถัดจากผู้หญิงนุ่งซิ่นเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งยังสาวอยู่
คงจะทำงานบริษัทเหมือนกัน เครื่องแต่งตัวของเธอสีม่วงทั้งชุด
อาจจะเป็นพวกทำงานตามห้างสรรพสินค้าหรือไม่ก็พวกขายของตามร้าน |
The person next to me was also a man. He
looked obviously like a low-ranking office worker like me. On my right was a woman
in a sarong, possibly a vendor. Next was a young woman, probably an office
girl. She was dressed in a purple uniform, may be a department store salesperson or
a shopkeeper.
|
คนถัดไปเป็นผู้ชาย สวมเสื้อยืด
ผมเดาไม่ออกว่าเขาควรจะทำงานอะไร คนนริมสุดถัดไป คงจะเป็นนักศึกษา
เป็นผู้ชายแ่ต่งตัวคล้ายนักศึกษา |
Next was a man in a T-shirt. I couldn't
decide what to make of him. At the end of the row was a student, a young man dressed
like a university student. |
ผมนั่งมองพวกเขาผ่านๆแล้วกลับมานั่งหลับตาต่อ
รถมาติดอยู่เฉยๆที่สี่แยกอีกแห่งหนึ่ง จอดนิ่งและนาน
เพราะมีรถตายอยู่กลางสี่แยก ฝนซาเม็ดลงบ้าง ผมมองออกนอกหน้าต่าง
เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเข็นรถ แต่ก็เข็นไปไหนไม่ได้
เพราะรอบๆรถของเขามีรถติดกันอยู่เต็มไปหมด ถ้าเขาเข็นไป
ดีไม่ดีอาจจะไปกระแทกเอากับรถที่ติดๆกันอยู่ที่นั่นก็ได้ |
I glanced past them, then closed my eyes.
The bus had come to yet another standstill at an intersection because a car had broken
down. The rain was letting up. I looked out of the window and saw a man
pushing a car. He was getting nowhere because cars were blocking him in every
direction, and he didn't want to bump into any of them.
|
น่าเห็นใจเขาอยู่เหมือนกันร่างเขาโชกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
คนบนรถเมล์คันที่ผมนั่งมองอยู่ด้วยสีหน้าที่ปราศจากความรู้สึก
อาจจะมีนึกสมน้ำหน้าอยู่ในใจบ้าง |
He was a sorry sight -- drenched with rain.
The people on the bus looked at him indifferently; some might even think that he deserved
it. |
คงจะมีแหละน่า เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ |
It was possible, and only natural,
wouldn't you agree? |
นี่ผมจะต้องนั่้งทรมานอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน
ผมอยู่บนรถเมล์นรกคันนี้มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว มันร้อน
ความร้อนอบอ้าวในรถไม่ได้เบาบางลงเลย
ผมรู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัวส่ายหน้าเป่าลมรดหน้าอกตัวเองอย่างท้อแท้ |
How much longer did I have to sit here suffering
like this? It had been almost two hours on this hell of a bus. It was hot; the
suffocating heat had not eased at all. I felt itchy all over and shook my head,
blowing onto my chest futilely. |
ไม่มีใครบนรถพูดจากันเลย
คนที่ยืนๆกันอยู่ข้างหน้าผม แน่นไปหมดนั้น ต่างยืนกันนิ่งๆ บางคนก้มหน้า
บางคนมองตรงๆไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย บางคนมองไปที่พื้นถนน อันนองไปด้วยน้ำ
ผมรู้ทีเดียวว่าทุกคนกำลังใช้ความอดกลั้นอดทนคิดดูแล้ว
ความอดทนของมนุษย์นี้ช่างสูงไม่ใช่เล่น จนอยู่ในภาวะที่ทารุณอย่างนี้
ก็ไม่มีใครเอ่ยปากบ่น ไม่มีใครพูด ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะลงจากรถไปให้พ้นๆ |
No one on the bus spoke at all. Each of
those squeezing in front of me were standing silently, some looking down, some looking
aimlessly in front of them, and some looking at the flooded road. I knew that
everyone's patience was being tried. How great is man's limit of endurance!
Even under such tormenting conditions like this, not a soul complained. No one said
a word; noone showed any sign of leaving the bus. |
ถ้ารถคันนี้เป็นรถบรรทุกนักโทษจริงๆก็ดีขออย่างเดียวให้มันวิ่งพาผมออกไปนอกเมือง
ไปที่ไหนก็ได้ขอให้ไปนอกเมืองที่ซึ่งรถไม่ติดอย่างนี้
ที่ซึ่งมีลมเย็นพัดผ่านได้ที่ซึ่งไม่ต้องปิดหน้าต่างรถทุกบานจนร้อนอ้าวอบจนเจียนร่างกายละลายเหลวอย่างนี้ |
If only this bus were really a truckload of prisoners. .
. just carry me out of the city, anywhere away from the city, where there were no
traffic jams, where the wind could blow, where we didn't have to close all the bus windows
until our bodies were ready to melt away like this. |
ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะหมดความอดทน
ผมได้นั่งก็นับว่าดีกว่าคนอีกครึ่งบนรถคันนี้แล้ว
แต่ความร้อนอบนั้นกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า |
I was coming to the end of my tether. With
a seat, I was better off than half the other passengers, but the suffocating heat was
driving me crazy. |
ผมคิดถึงบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดคิดถึงแฟนผม
เพียงแต่ผมมีเงินสักก้อนไม่ต้องใหญ่มากแล้วก็มีงานทำที่แถวบ้าน
ผมก็คงไม่ต้องมานั่งทรมานทรกรรมเหมือนอย่างนี้ผมคงแต่งงานกับแฟนผมได้ |
I thought of my hometown upcountry, of my
girlfriend. If only I had had a sum of money, just a small sum, and a job near home,
I wouldn't have been submitting myself to this torture. I would have got married
with my girlfriend. |
ทำไมผู้คนบนรถเมล์ถึงได้นั่งเป็นเบื้อเหมือนเป็นใบ้กันหมดอย่างนี้รวมทั้งตัวผม
ทำไมไม่มีใครพูดจากันบ้าง
คุยอะไรสนุกๆเล่่าสู่กันฟังแทนที่จะนั่งนิ่งๆทรมานอย่างนี้
เม็ดฝนยังคงโปรยอยู่บางๆแต่ความร้อนในรถเมล์มิได้บรรเทาลง....ร้องเพลงไงล่ะ
ทำไมไม่มีใครร้องเพลงขึ้นมา ทำเป็นว่ารถคันนี้เป็นรถทัศนาจรไปต่างจังหวัด
ร้องเพลงกันซี ร้องซี
นั้งเป็นใบ้เหมือนคนบ้ากันอยู่ทำไมมีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งทรมานนิ่งๆอย่างนี้
ร้องเพลงกันซี |
Why did they all sit here like zombies? Including me! Why
didn't anybody talk? Say something fun instead of silently suffering like
this. It was still drizzling, but the heat in the bus had not lessened. .
.Sing! Why doesn't somebody sing? Pretend that we were on a coach on a journey
upcountry. Sing! Sing! Why do you all sit there like dumbbells? What's the
use of suffering silently like this? Sing! |
ไม่มีใครร้องเพลงขึ้นมาเหมือนที่ผมอยากให้มี
เพลงลูกทุ่ง ร้องเพลงลูกทุ่ง เพลงอะไรก็ได้ เอาเพลงเร็วๆก็ได้ ช้าๆก็ได้
ขอให้ร้องแล้วกัน ผนตกรถติด ของสุรชัยไงเร้ว...ใครก็ได้ร้องเพลงหน่อย
เอ้าน้ำท่วมก็ได้ น้ำท่วมน้องว่าดีกว่าฝนแล้ง
พี่ว่าน้ำแห้งให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า....ของศรคีรีไง ร้องหน่อย ร้องหน่อย
ผมจะเป็นลูกคู่ |
No one sang,on as I wished he would. . .Country
songs! Sing a country song, any song, fast song, slow song. Just sing!
What about "Raining and the Traffic Jam" by Surachai. . . Come, sing.
Uh! What about "Flooding" ? "You said flood was better than
drought. But I think drought is better. . ." by Sornkheeree. Sing!
Sing! I'll be the chorus. |
ผมคิดคร่ำครวญอยู่ในใจ
รถเคลื่อนไปอีกและติดอีกทีที่สี่แยกนิ่งและนานผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสลายละลาย
หลับตาหายใจยาว ผมคิดว่าผมไม่เหลือความอดทนอยู่้แล้ว
ผมควรจะลงจากรถแวะกินก๋วยเตี๋ยวสักชาม
แล้วนั่งเล่นในร้านก๋วยเตี๋ยวสักพักให้อาการดีขึ้นแล้วค่อยรอรถคันต่อไป |
I went on thinking wistfully to myself.
The bus moved and stopped at another intersection -- a long stop. I felt myself
melting and disintegrating. I closed my eyes and breathed deeply. My patience
was gone. I should get off the bus, have a bowl of noodles and bide my time in the
shop until I feel better, and then catch another bus. |
ผมอยู่บนรถเมล์นรกโลกันต์คันนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
....หอมเอยหอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลื่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง
มองเห็นบัวสล้าง ลอยปริ่มริมบึง... |
I couldn't stay on this damned bus any longer. A sweet smell of a kratin flower,
mingling with the odor of hay,Tab-tao mushrooms grows by ya-nang vines,
The water-lily blossoms in the pond. . . |
มนต์รักลูกทุ่ง
เสียงใครหนอใครเปิดวิทยุหรือไรผมชะงักจากการลุกขึ้นนั่งลงอย่างเก่า....เสียงดีีรอ้งเพราะ
มนต์รักลูกทุ่ง ไอ้หนุ่มอีสานคนนั้นนั่นเอง ไอ้เพื่อนยากร้องต่อ
ร้องต่อผมมองเขายิ่มให้ แต่เขาไม่เห็นสนใจ เขาหลับตามือกุมประสานกันไว้บนตัก
เขาร้องเพลงเป็นและเสียงดี ร้องเพราะ |
"Mon rahk luke toong" Who sang the song? Has
someone turned on the radio? I froze in my premeditated attempt to get up, and
remained in my seat. . . Nice voice, sings well. "Mon rahk luke
toong" It's the northeastern fellow! Keep singing, my friend, keep
singing. I looked at him, smiled at him, but he didn't pay any attention. His
eyes were closed, his hands clasped on his lap. He could sing well and he had a
beautiful voice. |
อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยๆก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึง
เคล้าเจ้าบัวตูมบัวบาน.... |
. . .I'd like to pick the water-lily to savor the smell
I attempted to reach one but couldn't
How I longed to transform into bees
If I could, I would fly
to fondle both the buds and blooms of water-lilies |
เพราะมาก....ผมกล่าวชมเขาอยู่ในใจ ลืมความเคร่งเครียดจากความร้อนอบเสียสิ้น
มีเสียงหัวเราะคิกๆดังมาจากคนที่ยืนเบียดกันอยู่ข้างหน้าผม ผมมองหาว่าเป็นใคร
ในใจนึกตำหนิเขา คนที่ส่งเสียงหัวเราะนั้น ทุกคนที่ผมมองเห็น
รวมทั้งทุกคนที่นั่งเก้าอี้เดียวกับผม มองดูเจ้าหนุ่มนักร้องคนนั้นเป็นตาเดียว
แต่เขาไม่สนใจเลย เขาไม่ลืมตา |
Beautiful! I thought, forgetting all about the
strain from the heat. Someone standing in front giggled. I looked to see who
it was, silently reproaching that person. Everyone I saw, including all on the back seat,
stared at the singer, but he didn't care; his eyes were closed, oblivious to all
around him. |
หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน....
โอย...ใจผมลอยเตลิดกลับบ้าน
ต่างจังหวัด ในวูบเดียวที่เขาขึ้นท่อนนีั้ |
The smell of the earth mingling with the misty rain,
My heart leapt back to my home upcountry as soon as he started this
strain. |
อวลระคนหอมแก้มนงคราญ.....
ผมคิดถึงแฟนผม แฟนผมเธอน่ารัก ผมจน ผมไม่มีเงิน ผมแต่งงานกับเธอไม่ได้ |
Coalescing with the sweet smell of a lass' cheek. . .
I missed my girlfriend. She was lovely. I was poor. I had no
money. I couldn't marry her. |
ขลุ่ยเป่าแผ่ว
พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา....
นั่นไง...ที่นี่แหละหลังบ้านผมที่ต่างจังหวัด ต้นตาลเป็นทิว ผมเป่าขลุ่ยเป็น
ผมเป็นนักร้อง เชียร์รำวงแถวบ้าน
|
The sound of the bamboo flute
Meanders through the row of palm trees,The magical folk song softly drifting by. . .
That's it. . . Behind my countryside house, there were rows of palm
trees. I could play a bamboo flute; I used to be a singer for a local dance at the
neighborhood fairs. |
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
เห็นไหม หาปลาไง ลงเรือไปตกปลา ผมคลอเสียงในคอตามเขาไปอย่างลืมตัว |
Just a fishing rod and some bait. . .
See, it's fishing. Boating out to fish. I hummed along with
him unconsciously. |
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
เป็นความฝันของผม ฝันที่จะให้แฟนผมลงเรือไปตกปลากับผม
ความฝันที่ผมได้แต่ฝัน |
With a rosy-cheek lass by my side. . .fishing
A dream! My dream! I dreamt to have my girlfriend row a boat
to fish with me. An impossible dream.
|
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา
หวานแว่วแผ่วดังกังวาน..... |
Our golden rice-field is priceless,
The magical folk song,
sweet, soft, and echoing. . . |
ผมหลับตา
ผมไม่ต้องการได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆของใครบนรถนี่เลย
ผมไม่ต้องการเห็นสายตาที่มองเหมือนไอ้หนุ่มคนที่กำลังให้ความสุขกับผมนี้เป็นบ้า
แต่ผมรู้สึกว่าบรรยากาศบนรถเมล์นี้ดีขึ้น ดีขึ้นอย่างประหลาด
ถึงเสียงหัวเราะคิกๆนั้นจะเป็นเสียงที่ผมไม่ต้องการได้ยิน
แต่ก็ทำให้บนรถเมล์ที่ร้อนเหมือนนรกโลกันต์นี้มีชีวิตขึ้น |
I closed my eyes. I didn't want to hear
someone giggling. I didn't want to witness the look as if he were crazy when
he was giving such bliss. But I had a feeling that the atmosphere on the bus was
better, strangely better. Though the giggle was the sound I didn't want to hear, it
revived this hellish bus. |
โอ้เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
น้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ |
Oh! my love, the sound of the magical folk song,
The sweet fragrance of your cheeks. . . |
จบแล้วซ้ำท่อนแรกหน่อยเถิด
ไอ้เพื่อนยากยังไม่อิ่มเลย อีกเที่ยวเถิดน่า ร้องเลย ไอ้หนุ่มคนนั้น
ไอ้เพื่อนยากของผมไม่ร้องต่อ ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมและไม่ลืิมตา
ผมปรบมือดังสนั่นอยู่คนเดียว
แล้วก็มีเสียงปรบมือจากอีกสองสามคนที่นั่งอยู่แถวเดียวกับผม
รวมทั้งผู้หญิงนุ่งผ้าถุงที่นั่งติดกับผมด้วย
มีอีกสองสามคนที่อยู่แถวกลางปรบมือด้วย แต่ผมไม่เห็น
ด้านหน้ารถมีเสียงคุยกันจ้อกแจ้ก เสียงกระเป๋ารถพูดขึ้นกลั้วเสียงหัวเราว่า
"เสียงดี" |
Ending. Repeat the first part again, Buddy.
I haven't had enough yet. One more time, come on! That young fellow, my buddy,
didn't sing. He sat still, not opening his eyes. I applauded loudly; a few
people who sat on the same row as myself, including the woman in a sarong did the
same. A few others in the middle row also clapped their hands but I couldn't see
them. In the front, there was a loud talk. The conductor laughingly said,
"Beautiful voice." |
รถเมล์เริ่มเคลื่อนไปได้ใหม่และวิ่งไปได้ระยะสั้นๆรถเมล์วิ่งเข้าป้าย
ขณะที่รถจอดที่ป้ายนั้น
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะลงจากรถก่อนลงเขาหันมาทางหนุ่มนักร้อง พูดใส่หน้าว่า
"ไอ้บ้า" |
The bus moved on again, and shortly came to a bus
stop. A youth, getting off the bus, turned to the singer and said,
"Idiot!" |
ผมไม่รู้ตัวว่าผมทำอะไรลงไป
แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะก้าวพ้นรถ
ผมก็ลุกพรวดเดียวเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อเขาไว้ได้ "ลื้อนั่นแหละวะบ้า" |
I wasn't quite aware of what I was doing.
But before the lad could get off the bus, I had seized his collar and yelled,
"You, idiot!" |
ผมตวาด
เด็กหนุ่มคนนั้นท่าทางตกใจ หน้าซีดเมื่อผมไม่เห็นทีท่าว่าเขาจะฮึดฮัด
ผมจึงปล่อยคอเสื้อเขา แล้วถอยกลับมานั่งอย่างเก่ารถเมล์เคลื่อนออกจากป้าย
ไอ้หนุ่มนักร้องไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำไป เขายังคงนั่งอยู่ท่าเก่า
มีความเงียบในรถผมมองหน้าหนุ่มนักร้อง อยากให้เขาร้องเพลงอีก แต่เขาก็นั่งนิ่ง |
I yelled at him. He looked shocked and went
pale. Seeing that he didn't show any sign of retaliation, I let go of his collar and
went back to my seat. The bus moved away from the bus stop. The singer didn't
even opened his eyes. He still sat in the same position. Silence. I
looked at him, wishing that he would sing again but he remained still. |
รถเมล์เคลื่อนมาติดอีกครั้งตรงสี่แยกก่อนจะเลี้ยว ถ้าเลี้ยวไปถนนก็โล่ง
แต่รถก็ติดอยู่นาน ไม่มีทีท่าว่าจะพ้นสี่แยกไปได้
ความร้อนยังคงระอุอบ....ร้องเพลงซิไอ้เพื่อนยากร้องซี ร้องเพราะนี่นา ร้องซี
ผมเรียกร้องเขาอยู่ในใจ มีใครหลายคนแอบมองผมเขาคงประหลาดใจมาก
ที่เห็นปฏิกิริยาที่ผมแสดงออกกับเด็กหนุ่ม เมื่อครู่นี้แต่ผมไม่สนใจสายตาของใคร
ผมชำเลืองไปทางหนุ่มนักร้องของผม ภาวนาให้เขา้ร้องเพลงอีก |
The bus was caught again at another intersection
before making a turn, which if it could, the road would be clear. But it stopped for
a long time with no signs of moving. The heat was stifling. Sing, Buddy,
sing! You have such beautiful voice. Sing, I pleaded silently. Many
eyes were focused on me; probably surprised at my behavior. But I didn't care what
anybody thought. I glanced at my fellow singer, hoping he would sing. |
เพราะพี่มันจน
คนที่ไหนไม่แล...
ฮะฮ่า....ไกลบ้านของขวัญชัย
เพชรร้อยเอ็ด....คำภาวนาของผมเป็นผล ไอ้หนุ่มเพื่อนยากของผมร้องแล้ว
เสียงเขาดังกังวานไปทั้งรถทีเดียวไม่มีเสียงหัวเราะคิกๆแล้ว ผมดีใจจริงๆ |
Because I'm poor, nobody cares
Ah-ha!. . ."Far from Home" by Kwanchai
Petchroi-et. . .My pray was answered. My buddy was singing. His voiced echoed
through the bus. No giggles this time and I was glad. |
ต้องจากบ้านจากพ่อและแม่
คงชะแง้คอยวันฉันมา
แม่ผมก็เหมือนกัน เสียงของไอ้หนุ่มนี่
มันโหยฟังสะเทือนใจดีแท้ |
I have to leave home, Mom and Dad
They probably wait for the day I will go back. . .
My mom, too. This young man's voice was haunting and stirring. |
ต้องจากไกลมาลัยบ้านป่า
จากทุ่งนามาหางานทำ
ไอ้เพื่อนยาก เราก็เหมือนกันน่ะซี |
I have to leave Malai, my wild flower,
Leaving the rice-field to search for a job. . .
Hey, just like me, Buddy. |
เพราะพี่มันจนต้องดิ้นรนเรื่อยไป
เข้าสู่กรุงสู่กรุงวิไล หัวใจพี่เศร้าระกำ
เศร้า ผมก็เศร้า
ก็มันน่าเศร้า โถ...
มาลัยบ้านป่า อนิจจาแฟนผม เมื่อไหร่เล่าหนอ เมื่อไหร่เล่าที่ผมจะได้กลับไปบ้าน
ไปแต่งงานกับเธอ |
Because I was poor,
I have to continuously struggle,Heading to the capital, the civilized city. My heart soars.
Sad, I'm sad too. Well, it's heart-breaking. .
Wildflowers. Alas, my girlfriend. When, oh when could I go back and marry her? |
ทำงานเหงื่อกายไหลฉ่ำ
ตากแดดหน้าดำ
ต้องทำเพราะจน
ใช่แล้วไอ้เกลอ
เหมือนกันใช่แล้ว ไอ้เพื่อนยาก ขอเป็นเพื่อนด้วยคนเถอะวะ ผมมองเขาอย่างชื่นชม
หนุ่มนักร้องไม่สนใจใครเลย เขายังหลับตา
ผมจ้องหน้าเขาไม่วางตาหลายคนบนรถทำเช่นเดียวกับผม
กระเป๋ารถเดินมายืนที่บันไดยิ้มๆและมองหนุ่มนักร้องของผม |
Sweating and straining
Blackened by the sun, but I have to do it because I'm poor.
Yeah, Buddy, me too. That's right, my
friend, may I be your friend? I looked at him admiringly, but he didn't pay
attention to anyone. He still closed his eyes. I stared at him like many
others on the bus. The conductor walked to stand on the steps, smiling and looking
at my young singer. |
มาลัยจ๋า....
นี่ มันต้องอย่างนี้
คนร้องเพลงลูกทุ่ง
เป็นต้องอย่างนี้ เสียงจ๋าของเขานั้น
โหยหวนเอื้อนยาวทอดหาย ผมเผลอเคาะนิ้วกับหนังสือให้จังหวะ |
Malai, my love. . .
Perfect! A country singer must be like this. His
"love" was so long and haunting. I absent-mindedly tapped my fingers on my
books. |
...อย่าว่าพี่จาก
เพราะความจนยากต้องจากหน้ามล
เมื่อพี่ไกล
ทรามวัยอย่าบ่น
ถ้าพี่หายจนหน้ามลคงสบาย |
Don't complain when I leave,
Because I'm poor, I have to leave you.
When I'm away, please don't complain.
When I'm rich, you'll be happy.
|
ใช่แล้วมาลัยบ้านป่า
ใช่แล้วมาลัยจ๋า แฟนผมไม่ได้ซื้อมาลัยหรอก
แต่ผมอยากให้แฟนผมชื่อมาลัยเหลือเกินเชียวตอนนี้
หนุ่มนักร้องขยับตัวหยดน้ำใสกลิ้งจากตา ผ่านร่องแก้มกร้านของเขา ผมใจหายวูบ
น้ำตาหรือเปล่า น้ำตาจริงๆขนตาเขาชุ่มทีเดียวเปียกเกาะกันเป็นแผง
โถ.....ไอ้เพื่อนยาก ผมตีบตันพลอยแน่นจมูก ขอบตาร้อนไปด้วย |
That's right, wildflowers. Yes, Malai. My girlfriend's name was not Malai. But at this moment, I really wanted
it to be. The singer moved. A teardrop rolled down his rough cheek. My
heart sank. Were they tears? They were! His eye-lashes were wet and
clung to one another in clumps. Oh! My friend, I was deeply touched; my nose
and my eyes felt hot. |
เพราะไกลเธอ
เผลอใจลอย.....
ลอย ผมก็ลอย ใครเล่าจะไม่ลอย ถ้าเป็นอย่างผม
ไกลคนที่รักและไม่มีแววว่าจะสมหวังอย่างนี้ |
Away from you, my heart wanders. . .
Wanders, mine too. Whose doesn't if he were like me? Far from
his loved ones with no hope at all. |
คิดถึงเธอ คิดถึงเธอบ๊อยบ่อย
ใจลอยกระวนกระวาย
น้ำตาผมทำท่าจะเอ่อ
แต่น้ำตาของไอ้หนุ่มหยาดลงมาเป็นสาย
เสียงเครือสะท้านของเขาได้ความรู้สึกสะเทือนใจเหลือเกินโดยเฉพาะตรงที่่ว่า
คิดถึงเธอ คิดถึงเธอ บ๊อยบ่อย ผมตีบตื้นในลำคอ รถเมล์เริ่มเคลื่อนออกช้าๆ |
Missing you, missing you so often,
My troubled mind wanders. . .
My eyes grew misty, but the young man's face was
streaming with tears. His shaking voice was extremely touching, especially during the last
refrain- - "Missing you, missing you often," I almost choked. The
bus started to move slowly. |
ตัวไกลหัวใจอยู่ใกล้
เจ้าอย่านอกใจละเมื่อพี่ไกลบ้านนา
ผมไม่แน่ใจนักหรอก
ผมจากแฟนผมมานานแล้ว จดหมายก็ไม่ได้เขียนถึงกัน
ผมปรบมือเมื่อเขาร้องจบมีเสียงปรบมือตามผมดังก้องไปทั้งรถ
ผมเสก้มหน้าขยี้ตาและลูบหน้า
เพื่อทำลายคราบน้ำตาของตัวเองเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็น |
I'm so far away, but my heart is closed to you.
Don't be unfaithful when I'm away from home.
I was not so sure. I had been away from my
girlfriend for quite a while without sending any letter to each other. I pretended
to look down, rubbed my eyes and face to wipe away the tears since I didn't want
anybody to see them. |
เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะเบาๆยังคงดัง ขณะที่รถเลี้ยววิ่งไปตามถนนอีกสายหนึ่ง |
Clapping and gentle laughing ensued as the bus
turned into another road. |
รถจอดป้าย
ไอ้หนุ่มนักร้องลุกขึ้น กระเป๋าซึ่งมองดูอยู่ ตะโกนเสียงดัง "เดี๋ยวพี่
นักร้องจะลง" |
The bus stopped, and the young singer stood
up. The conductor shouted loudly, "Wait! The singer is getting off." |
ทุกคนหันมามอง
มีเสียงปรบมือดังอีก หนุ่มนักร้องของผมไม่ได้สนใจกับเสียงปรบมือ
คราบน้ำตายังชื้นอยู่บนหน้า |
Everybody turned to look. Another round of
applaud but my singer was indifferent. His face was still wet with tears. |
เขาก้าวลง
นังไม่ถึงที่พักแต่ผมก้าวลงตามเขาไป หนุ่มนักร้องลงจากรถได้ก็ทำท่าจะเร่งเดิน
ผมนึกไม่ออกว่าผมควรจะทำอย่างไร จะทักถามหรือคุยกับเขาว่าอย่างไร |
He stepped down. This was not my
destination but I followed him. The young singer started walking at a brisk
pace. I didn't know what to do, or what to say to him. |
"เดี๋ยวก่อน
ขอโทษเถิดถามจริงๆบ้า หรือเปล่า" ผมถามไปอย่างลุกลี้ลุกลน |
"Wait, I'm sorry. Are you really
insane?" I asked, stumbling over my words. |
"เปล่า...."
หนุ่มนักร้องส่ายหน้า
"....แต่อยากบ้าเหมือนกัน" เขาตอบผม
แล้วเดินหายไปในกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันรอรถเมล์แถวนั้น |
"No. . ." He shook his head.
". . .but I'd like to be." He
answered and disappeared among the crowd at the bus stop. |