sound.gif (1078 bytes)เมื่อสมาชิกของครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากันในตอนเช้าตรู่และในตอนตะวันยอแสง พร้อมกับจักรยานสามล้อซึ่งกินที่หนึ่งในสี่ ภายในห้องนั้นก็ออกจะยัดเยียดและดูลักษณะเป็นที่ใช้หลบภัยชั่วคราวมากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยอันถาวรความจริงนั้น การครองชีวิตของอ่ำและครอบครัวในยามปกติ ก็มีลักษณะเป็นการหลบภัยอยู่แล้ว เขาต้องเสี่ยงภัยอยู่ทุกวัน เพียงเท่าที่จะประคับประคองให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆหนึ่ง When the family members all came together at dawn and dusk together with the pedicab, which ate up a quarter of the room, it was quite crowded. It seemed more like an emergency shelter than a permanent residence.  In fact, the well-being of Am and his family under usual circumstances depended upon remaining one step ahead of misfortune.  Am had to take chances every day, just to support his family.
sound.gif (1078 bytes)เขามีโอกาสอยู่เนืองๆที่จะต้องเผชิญกับความรู้สึกใจหายใจคว่ำต่อปัญหาที่ว่า วันนี้จะเอาอะไรกินเข้าไป จะทำอย่างไรดีกับอีตุ่มลูกคนเล็กที่นอนซมเป็นไข้มาสามวันแล้ว จะเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อผ้าแบลงเกตหยาบๆเก่าๆให้ลูกสองคนห่มนอนในฤดูหนาวปีนี้ นี่เป็นการเสี่ยงภัยขนาดย่อยและยังมีภัยขนาดใหญ่ที่ได้มาเยี่ยมกรายชีวิตของเขาเป็นครั้งคราวอีก He had many opportunities to become anxious when faced with the questions of survival.   What would they eat today?  What could they do for little Tum, their smallest child who had been in bed with a fever for three days already?  Where could they find the money to buy an old, tattered blanket that their two children could cling to in the cold season?   These were the smaller challenges, and there were still greater ones that had visited him time and again.
sound.gif (1078 bytes)ครั้งหนึ่งลมไต้ฝุ่นได้พัดกระโชกเข้ามาสู่พระนคร ชาวบ้านเรียกว่าพายุสงกรานต์ เสียงแผดคำรามของมหาวาตะ ดังลั่นน่าสะพรึงกลัว เสียงต้นไม้ใบไม้หวีดร้องระงม ฝุ่นและเศษสิ่งของบนถนนปลิวเข้ามาในห้องราวกับถูกสาดเทเข้าไปโดยเครื่องจักร ห้องสั่นสะเทือนราวกับซ้ำเติมด้วยแผ่นดินไหว ลูกสองคนวิ่งพันหน้าหันหลังแม่ยายด้วยความตกใจกลัว ขณะที่คนทั้งสองวิ่งหน้าตื่นไปมา ช่วยกันปิดประตูและเก็บข้าวของที่ไม่มีค่าอะไร แล้วแม่ลูกก็พากันไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้อง ส่วนยายก็จุดธูปขึ้นพลางสวดมนต์ภาวนา ขออำนาจเทพยดาฟ้าดินคุ้มครองป้องกันอันตราย Once, a typhoon stormed through the capital.  The locals called it the Songkran Storm.  Its great winds roared mightily; the din of the wind-blown leaves on trees was blusterous.  Dust and loose garbage from the lane in front blew into the hut with such force, as if propelled by a machine.  The rickety shack trembled as if caught in an earthquake.  The two frightened children held on to their mother and grandmother, even as the two women dashed about in a panic.  They closed the door and collected their paltry belongings.  Mother and children hunkered down in a comer of the room, hugging their knees.  Grandmother lit joss sticks while praying for a divine force to protect them from danger.
sound.gif (1078 bytes)มีเสียงเปรียงปร้างบนหลังคา ทุกคนร้องวี้ดว้าดแล้วก็หลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขาทั้งหมดแลเห็นแสงสว่างจากเบื้องบน สาดลงมาในห้อง ยายดีใจคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนสาดลงมาในห้อง ยายดีใจคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน สำแดงอานุภาพให้เห็นทันตา ครั้นทุกคนแลขึ้นไปจึงได้พบว่าพายุพัดกระชากเอากระเบื้องบนหลังคาหลุดหายไป เปิดช่องโหว่ไว้ช่องเบ้อเร่อ Just then a thundering noise sounded from the roof.  Everyone gave a cry of alarm and shut their eyes.  When they peeked out, they all saw a ray of light shining from above, flowing into the room. Grandmother was ecstatic; her holy being from above had shown its power for all to see.  When they all glanced up, though, they saw that the storm had torn off the tiles from the roof, leaving a large gap to be filled.