DIVISION #1 | DIVISION #2 | DIVISION #3 | DIVISION #4 | DIVISION #5 | DIVISION #6 | DIVISION #7 |
DIVISION #9 | DIVISION #10 | DIVISION #11 | DIVISION #12 | DIVISION #13 | DIVISION #14 | HOME |
DIVISION 8: HANUMAN AND MONK II PLAY TRICKS ON EACH OTHER |
105. When he finished killing Phi Sua of the Ocean |
๑๐๕. ครั้นเสร็จฆ่าผีเสื้อสมุทร |
He showed his magic power and bravery. | สําแดงฤทธิรุทรกําลังหาญ |
He swung his diamond trident like a ray of the Cataclysmic Fire. | กวัดแกว่งตรีเพชรดั่งเพลิงกาล |
He flew across the river with great agility. | เหาะข้ามชลธารด้วยว่องไว ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ เชิด | |
106. He floated off in a fast wind | ๑๐๖. ลอยลิ่วปลิวมาตามลมกรด |
He reached the sixteenth level of heaven, on a big mountain, | ตกถึงโสฬสเขาใหญ่ |
Beyond the City of Lanka. | เกินเมืองลงกาลงไป |
He thought it was Nila Mountain. | หมายใจว่านิลคีรี ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ | |
107. He saw the roof of a hermitage | ๑๐๗. จึงเห็นหลังคาอาศรม |
Of Narot, the great ascetic. | พระนารทบรมฤาษี |
He was very happy. | มีความชื่นชมยินดี |
The monkey chief descended directly. | ขุนกระบี่ก็ตรงลงมา ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ เชิด | |
108. When he came to a sandy mound at the edge of the ocean | ๑๐๘. ครั้นถึงเนินทรายชายสมุทร |
He stopped at a thicket dense with leaves. | ก็หยุดที่พุ่มไม้ใบหนา |
He raised his hands and recited holy prayers. | ยอกรร่ายเวทอันศักดา |
He transformed his monkey body. | นิมิตกายาวานร ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ ตระ | |
109. Suddenly he was a tiny monkey. | ๑๐๙. บัดเดี๋ยวก็เป็นลิงน้อย |
He was small, white, shiny, and pretty | กระจ้อยร่อยขาวผ่องประภัสสร |
Like a monkey in the forest. | เหมือนกระบี่ป่าพนาดร |
When this was done, he walked in. | เสร็จแล้วบทจรเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ | |
110. He came near the pavilion of the hermitage. | ๑๑๐. มาใกล้ศาลาอาศรม |
He was a small monkey, and he had good manners. | ลูกลมผู้มีอัชฌาสัย |
He crouched down on all fours at a distance. | ค่อยยอบหมอบกรานแต่ไกล |
He paid his obeisance to the monk. | กราบไหว้พระมหามุนี ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ | |
111. Then | ๑๑๑. เมื่อนั้น |
Narot the Ascetic | องค์พระนารทฤาษี |
Saw the monkey came and pay obeisance. | เห็นวานรมาอัญชุลี |
So he asked him, | จึ่งมีวาจาถามไป |
"Hey, monkey, | ว่าเหวยดูก่อนพานริน |
Where do you come from? | ถิ่นฐานเอ็งอยู่ตําบลไหน |
What's your name? | มีนามกรชื่อใด |
Why have you come to see me, monkey?" | มาหากูไยอ้ายวานร ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ | |
112. Then | ๑๑๒. บัดนั้น |
Hanuman, brave and skillful, | คําแหงหนุมานชาญสมร |
Listened and saluted. | ได้ฟังนบนิ้วประนมกร |
Then he spoke eloquent words. | แล้วกล่าวสุนทรวาจา |
"I don't have any name." | ตัวข้าชื่อเสียงก็ไม่มี |
"I'm wandering in the forest. | สัญจรอยู่ที่ในป่า |
I've heard rumors | ได้ยินเขาเล่าลือมา |
About magnificent Lanka. | ว่าเมืองลงกาโอฬาร |
That it's a lot of fun, and everyone is happy. | แสนสนุกเป็นที่จําเริญใจ |
I'd would like to go and see the market place and the palace. | จะใคร่ไปชมตลาดราชฐาน |
I don't know where the city of the devils is. | ข้าไม่รู้แห่งกรุงมาร |
O, Teacher, have mercy on me." | พระอาจารย์จงได้ปรานี ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ | |
113. Then | ๑๑๓. เมื่อนั้น |
Narot the great ascetic | พระนารทมหาฤาษี |
Listened to the monkey speak. | ได้ฟังวานรวาที |
So he said, | จึ่งมีพจนารถวาจา |
"What's the matter with you | อันตัวเอ็งนี้เป็นไฉน |
That you don't know the location of the giant's city | ไม่รู้แห่งเวียงชัยยักษา |
And you wander around uncouth and tousled | จึ่งเที่ยวเซอะเซิงกระเจิงมา |
And you ask for Lanka, city of the giants? | ถามหาลงกาเมืองมาร |
There is Nila Kala Mountain | โน่นนิลกาลาสิงขร |
In the middle of the city. | อยู่กลางพระนครไพศาล |
It is very high, level with the edge of the universe. | สูงเยี่ยมเทียมขอบจักรวาล |
It stands out when you look southwest." | เห็นตระหง่านข้างทิศหรดี ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ | |
114. Then | ๑๑๔. บัดนั้น |
Skillful Hanuman | หนุมานผู้ชาญชัยศรี |
Heard the great sage | ได้ฟังพระมหามุนี |
And he was happy. | มีความยินดีปรีดา |
So he said, "O, teacher, | จึ่งว่าข้าแต่พระอาจารย์ |
I beg you to take pity on me. | ขอประทานโปรดเกล้าเกศา |
I've lost my way. | ตัวข้านี้หลงเที่ยวมา |
Now it's evening. | จนพระสุริยารอนรอน |
I'm hungry, tired, and losing strength. | หิวโหยโรยแรงเหนื่อยพักตร์ |
I'd like to rest first, | จะขอสํานักอยู่ก่อน |
Till dawn. | ต่อรุ่งรังสีรวีวร |
Then I'll bow down and take my leave." | วานรจะกราบลาไป ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ เจรจา | |
115. Then | ๑๑๕. เมื่อนั้น |
Narot, the great teacher, | พระมหานารทอาจารย์ใหญ่ |
Thought, "He's only a forest monkey." | คิดว่าลิงป่าพนาลัย |
He answered with compassionate words. | จึ่งตอบคําไปด้วยปรานี |
"You ask to stay with me. | ซึ่งเอ็งจะอาศัยอยู่ |
As you wish, monkey." | กับกูก็ตามกระบี่ศรี |
Saying this, he raised his hands immediately. | ว่าแล้วยกหัตถ์ขึ้นทันที |
He pointed out a rest pavilion to the monkey. | ชี้บอกศาลาให้วานร ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ | |
116. Then | ๑๑๖. บัดนั้น |
Skillful Hanuman | คําแหงหนุมานชาญสมร |
Bent his head an paid obeisance. | ก้มเกล้าดุษฎีชุลีกร |
He hurried off to the rest pavilion. | รีบจรไปยังศาลา ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ | |
117. He was very suspicious. | ๑๑๗. ให้คิดสงสัยพันทวี |
"Why did a forest monk | เหตุไรฤาษีชีป่า |
Come to the Island of Lanka | มาอยู่ในเกาะลงกา |
With the group of giants? | กับพวกยักษาด้วยอันใด |
Does he have some magic knowledge? | ฤาจะมีความรู้วิชาศาสตร์ |
In what ways is he brave and skilled? | องค์อาจเชี่ยวชาญเป็นไฉน |
Enough! I'll test his magic. | อย่าเลยจะลองฤทธิไกร |
To see the teacher's powers." | ให้เห็นศักดาพระอาจารย์ |
Thinking this, he bowed to the gods, | คิดแล้วไหว้คุณพระเป็นเจ้า |
To the Lord of the Three Worlds. | ปิ่นเกล้าสามภพจบสถาน |
He shut his eyes and meditated. | หลับเนตรสํารวมวิญญาณ |
He said a prayer and thereby transformed his body. | อ่านมนต์นิมิตกายา ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ ตระ | |
118. With th power of the spells | ๑๑๘. เดชะศักดาอาคม |
Of the god Siva | พระสยมภูวนาถนาถา |
His body became large and filled up the pavilion. | กายนั้นใหญ่เต็มศาลา |
So he called to the sage in confusion. | ก็เรียกพระสิทธาวุ่นไป |
"You are having me sleep in a place as small as this. | ที่น้อยเท่านี้ให้มานอน |
How can I stretch out my arms and legs? | จะเหยียดเท้าเหยียดกรกระไรได้ |
I am not comfortable. | ข้าไม่ผาสุขสําราญใจ |
Why is it like this, O, sage?" | เป็นไฉนฉะนี้พระมุนี ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ | |
119. Then | ๑๑๙. เมื่อนั้น |
Narot the Sage | องค์พระนารทฤาษี |
Heard the monkey's word | ได้ยินวานรพาที |
And he thought it was strange. | มีจิตถวิลจินดา |
"This fellow is very small. | อ้ายตัวนี่มันก็น้อยน้อย |
He's tiny, a forest monkey. | กระจ้อยร่อยเป็นชาติลิงป่า |
Why does he say that the pavilion | เหตุไฉนจึ่งว่าศาลา |
Is smaller than his body? | เล็กกว่ากายาด้วยอันใด |
I'll go look | อย่าเลยจะไปแลดู |
And find out what this smart fellow is up to." | อ้ายสู่รู้มันทําเป็นไฉน |
Having thought this he walked out | คิดแล้วก็เดินออกไป |
from his forest hermitage. | จากในอรัญกุฎี ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ เสมอ | |
120. He saw a large, powerful body | ๑๒๐. เห็นกายโตใหญ่ไพศาล |
And he knew the monkey was playing a trick. | ก็แจ้งการว่ากลกระบี่ศรี |
So he spoke a powerful spell | จึ่งอ่านพระเวทอันฤทธี |
And he transformed the pavilion. | นิมิตซึ่งที่ศาลา ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ ตระ | |
121. Sudenly it was as big as several rooms. | ๑๒๑. บัดเดี๋ยวก็ใหญ่เป็นหลายห้อง |
Then he shouted out, "Hey, forest monkey! | แล้วร้องว่าเหวยอ้ายลิงป่า |
You're a master of the devil's tricks. | มึงนี้เจ้ากลมารยา |
You've come to annoy me. | แกล้งมารบกูให้รําคาญ |
Now surely this pavilion | นี่แน่ศาลาครานี้ |
Is big enough. | กว้างขวางยาวรีรโหฐาน |
Burrow into it and sleep peacefully | มุดหัวนอนเถิดให้สําราญ |
Listen, beast, don't bother me." | อ้ายชาติเดียรฉานอย่ากวนใจ ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา | |
122. Then | ๑๒๒. บัดนั้น |
The Son of the Wind, the courteous, | วายุบุตรผู้มีอัชฌาสัย |
Saw the pavilion get large | เห็นศาลาใหญ่ออกไป |
Through the magical power of the sage. | ด้วยฤทธิไกรพระมุนี |
He smiled and thought, | ยิ้มแล้วรําพึงคะนึงคิด |
"How can I exhaust the magic powers of the sage?" | จะทําให้สิ้นฤทธิ์พระฤาษี |
So he paid his obeisance to haeven. | จึ่งยอกรนบนิ้วดุษฎี |
The monkey recited a magic spell. | ขุนกระบี่ก็ร่ายวิทยา ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ ตระ | |
123. His body was as big as Mount Promet | ๑๒๓. กายนั้นใหญ่เท่าพรมเมศ |
Through his bold magic powers. | ด้วยศักดาเดชแกล้วกล้า |
He shouted out to the sage, | แล้วร้องประกาศเข้ามา |
"Is this what you call a pavilion, sage? | นี่ฤาศาลาพระนักพรต |
You said it was big and ample, | บอกว่าใหญ่โตกว้างขวาง |
But I can't lay down one arm completely, | แต่แขนข้างหนึ่งวางไม่ได้หมด |
And I have to bend my knees. | ทั้งเข่าขาก็ต้องคู้คด |
You have no pity." | พระดาบสไม่เห็นเวทนา ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา | |
124. Then | ๑๒๔. เมื่อนั้น |
The teacher with strong powers of concentration | องค์พระอาจารย์ฌานกล้า |
Responded by transforming the pavilion. | แต่เวียนนิมิตศาลา |
It got constantly wider and longer. | กว้างยาวกว่าเก่าขึ้นทุกที |
However big it became with magical power, | โตออกเท่าใดด้วยฤทธิ์นั้น |
His body just got bigger than the place. | กายมันยิ่งใหญ่ออกกว่าที่ |
So the sage said, "Hey, this monkey | จึ่งว่าดูดู๋อ้ายลิงนี้ |
Is full of bad tricks. | กาลีเจ้าเลห์เป็นพ้นไป |
He's a real show off. | อันตัวของมันนี้สู่รู้ |
He dares to try out an old man! | มาลองกูผู้เฒ่าก็เป็นได้ |
Well, he asked for it. | จําจะทารกรรมให้หนําใจ |
He'll see what magical power is." | อ้ายจัญไรจะได้เห็นฤทธิ์ |
Having thought this, the teacher | คิดแล้วองค์พระอาจารย์ |
Entered into a state of meditation. | ก็เข้าสู่ฌานสํารวมจิต |
He purified himself | อาโปกสิณเป็นนิมิต |
With the force of his religious power. | ด้วยตบะกิจพระสิทธา ฯ |
ฯ ๘ คํา ฯ ตระ | |
125. He created darkness in the sky. | ๑๒๕. บันดาลมืดคลุ้มโพยมหน |
There was thunder in all directions. | อึงอลไปทั่วทิศา |
Rain fell. | ฝนนั้นก็ตกลงมา |
It touched the monkey's body. | ถูกต้องกายาวานร ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ รัว | |
126. Then | ๑๒๖. บัดนั้น |
Brave, skillful Hanuman | คําแหงหนุมานชาญสมร |
Was cold from the rain touching his body. He hung his head and hid. | ต้องฝนทนหนาวซบซอน |
His body and arms were numb all over. | กายกรเป็นเหน็บทั้งอินทรีย์ |
His body was transformed again. | อันรูปนิมิตก็กลับกลาย |
It returned completely to monkey form. | คืนคงเป็นกายกระบี่ศรี |
He was at his wit's end, and saw the magic power of the sage. | สุดคิดเห็นฤทธิ์พระมุนี |
He couldn't take it any more. | สุดที่จะทนเวทนา |
He shouted out, "Hey you, sage, | ร้องว่าดูก่อนพระนักธรรม์ |
It's too cold, I can't take it. | หนาวพ้นอดกลั้นหนักหนา |
Every hair on my body is cold. | เยือกเย็นทุกเส้นโลมา |
Have pity. Don't make me suffer." | เมตตาอย่าให้ทรมาน ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ | |
127. Then | ๑๒๗. เมื่อนั้น |
Narot, wise and brave, | พระนารทผู้ปรีชาหาญ |
Saw the monkey defeated by the power of his concentration. | เห็นวานรพ่ายแพ้ฤทธิ์ฌาน |
He trembled from the cold, and shouted out. | หนาวสะท้านร้องอึงคะนึงไป |
So, he said, "Hey, forest monkey, | จึ่งว่าดูก่อนอ้ายลิงป่า |
You're evil and crude. | ชั่วช้าสามานย์หยาบใหญ่ |
You annoyed me by testing my magic. | มึงแกล้งมาลองฤทธิไกร |
Why are you begging, | เป็นไฉนจึ่งร้องวุ่นวาย |
You evil charecter? | เหวยอ้ายทรลักษณ์อัปรีย์ |
Come near the fire and your numbness will disappear. | มาผิงอัคคีเสียให้หาย |
Animal, you're very evil. | พาชาติเดียรฉานแสนร้าย |
Are you ashamed yet, or not, of your foolishness?" | ยังอายฤาไม่อ้ายพาลา ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ เสมอ | |
128. Then | ๑๒๘. บัดนั้น |
The Son of the Wind, the brave one, | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
Listened to the great sage | ได้ฟังพระมหาสิทธา |
And happily got down from the pavilion. | ก็ลงจากศาลาด้วยยินดี ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ | |
129. When he arrived he sat and warmed himself by the fire. | ๑๒๙. ครั้นถึงจึ่งนั่งผิงไฟ |
The monkey roasted his whole body | อังไปทั่วกายกระบี่ศรี |
Which was trembling all over with cold. | ที่สะท้านเยือกเย็นทั้งอินทรีย์ |
He was touched by the steam from the fire, and he was happy. | ต้องอายอัคคีก็สําราญ |
So he thought, "This sage | จึ่งคิดว่าองค์พระนักสิทธ์ |
Has bold and powerful magic knowledge. | ตบะกิจวิทยากล้าหาญ |
He is agile in his powers of concentration." | ว่องไวในที่จําเริญฌาน |
Having thought this, he came to the pavilion. | คิดแล้วมาสถานศาลา ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ เสมอ | |
130. He leaned back and stretched out his arms and legs. | ๑๓๐. เอนกายเหยียดเท้าเหยียดกร |
He slept happily. | นอนเป็นบรมสุขา |
The Wind touched his body. | พระพายพัดต้องกายา |
He was tired and slept soundly. | เหนื่อยมาก็หลับสนิทไป ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ ตระ | |
131. Then | ๑๓๑. เมื่อนั้น |
Narot, the great teacher, | พระมหานารทอาจารย์ใหย๋ |
Saw the intelligent monkey. | เห็นวานรผู้ปรีชาไว |
He was sleeping and unconcious. | หลับไหลไม่เป็นสมประดี |
So he thought, "This fellow has challenged me. | จึ่งคิดว่าอ้ายนี้มันสู่รู้ |
He has tested my ascetic powers. | มาลองฤทธิ์กูผู้ฤาษี |
Today I'll see his ability, | จะดูศักดามันวันนี้ |
To serve the monkey right. | ให้สาที่นํ้าใจวานร |
If he's good he'll be able to free himself. | แม้นว่ามันดีก็แก้ได้ |
If not, then he'll be even more ashamed than before." | หาไม่จะอายกว่าก่อน |
Having thought this, he pulled out his staff. | คิดแล้วฉวยชักเอาธารกร |
He walked off from the pavilion. | บทจรออกจากศาลา ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ เสมอ | |
123. He came to a lotus pond. | ๑๓๒. มาถึงสระโบกขรณี |
He stood on a slab of rock | ยืนอยู่เหนือที่แผ่นผา |
And recited a magic spell. | ก็ร่ายพระเวทวิทยา |
By his prayers he enchanted his cane. | ภาวนาเสกไม้เท้าไป ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ ตระ | |
133. When this was done he threw it down in the pond. | ๑๓๓. ครั้นแล้วจึ่งทิ้งลงในสระ |
It was transformed into a big leech. | กลายเป็นขันลุกะตัวใหญ่ |
He ordered, "If the cursed monkey | สั่งว่าแม้นลิงจัญไร |
Comes to drink in this pond | มากินนํ้าในสระนี้ |
Leech, attach yourself to his chin. | ปลิงจงเกาะเอาลูกคาง |
Don't release the monkey." | อย่าได้ละวางกระบี่ศรี |
Having said this, he walked slowly | ว่าแล้วย่างเยื้องจรลี |
And returned to the pavilion. | กลับมายังที่ศาลา ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ เสมอ | |
134. Then | ๑๓๔. บัดนั้น |
The Son of the Wind, the brave hearted, | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
When the light of dawn lit up the clouds | ครั้นแสงทองรองเรืองเมฆา |
Birds resounded through the forest. | สกุณาเพียกพร้องสนั่นไพร |
A bee flew around. | แมลงผึ้งภู่โบยบิน |
A cuckoo sang a pretty song. | โกกิลรํ่าร้องเสียงใส |
He was awakend and left the pavilion. | ก็ตื่นตาออกจากศาลาลัย |
He walked to the pond. | เดินไปยังสระวารี ฯ |
ฯ ๔ คํา ฯ เสมอ | |
135. When he arrived he rinsed his mouth and washed his face. | ๑๓๕. ครั้นถึงบ้วนปากล้างหน้า |
He washed his monkey body | ชําระกายากระบี่ศรี |
He rubbed down his whole body | ลูบไล้ไปทั่วอินทรีย์ |
At the pond. | อยู่ในที่สระชลธาร ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ | |
136. Then | ๑๓๖. บัดนั้น |
A for the brave leech that was the cane | ฝ่ายปลิงไม้เท้าตัวหาญ |
Of the great teacher, | ขององค์มหาอาจารย์ |
It swam up and attached itself to the monkey's chin. | ว่ายทะยานเกาะคางวานร ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ รัว | |
137. Then | ๑๓๗. บัดนั้น |
Brave Hanuman | คําแหงหนุมานชาญสมร |
Jumped up in fear from this magical power. | ตกใจโจนด้วยฤทธิรอน |
He jerked and shook it with his two hands. | สองกรกระชากสะบัดไป |
In his hatred he closed his eyes and picked and pulled. | ความเกลียดหลับตาปลิดฉุด |
He couldn't get the leech off. | ปลิงนั้นจะหลุดก็หาไม่ |
No matter how much he pulled, | ยิงคร่ายิ่งทึ้งสักเท่าไร |
It got longer each time. | ยิ่งยาวออกไปทุกที |
It was beyond his knowledge, his magic, and his power. | สุดรู้สุดฤทธิ์สุดกําลัง |
It was beyond the intelligence of the monkey. He ran and called for the ascetic | สุดทั้งปรีชากระบี่ศรี |
It was beyond the intelligence of the monkey. | วิ่งพลางร้องเรียกพระมุนี |
Till he came to the leafy pavilion. | จนถึงที่บรรณศาลา ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ เชิด | |
138. So he bowed down to his feet. | ๑๓๘. จึ่งกราบลงกับบทมาลย์ |
"Please have mercy on me. | พระอาจารย์ได้โปรดเกศา |
Please help me escape this suffering. | จงช่วยให้พ้นเวทนา |
Pick the leech off me now." | ปลิดปลิงให้ข้าบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คํา ฯ | |
139. Then | ๑๓๙. เมื่อนั้น |
The great ascetic Narot | พระมหานารทฤาษี |
Smiled and then spoke. | ยิ้มแล้วจึ่งกล่าววาที |
He pointed to Hanuman's face and said, "Hey, common one, | ชี้หน้าว่าเหวยอ้ายสาธารณ์ |
Why don't you use your powers? | เป็นไฉนไม่แผลงฤทธิรอน |
Why, beast, do you come begging to me? | มาวอนกูไยอ้ายเดียรฉาน |
A tiny leech is sticking to you, as big as the rope of a pulley. | ปลิงหนิดติดอยู่เท่าสายพาน |
You cry out without shame. | ร้องอึงอลหม่านไม่อายใจ |
Last night you persistently irritated me. | คืนนี้มึงเฝ้าแต่กวนกู |
I couldn't even recite my prayers for a minute." | จะสวดมนต์สักครู่ก็ไม่ได้ |
Having said this, he stretched out his hand. | ว่าแล้วจึ่งยื่นมือไป |
He pulled off his staff from the monkey. | หยิบเอาไม้เท้าที่วานร ฯ |
ฯ ๖ คํา ฯ | |
140. Then | ๑๔๐. บัดนั้น |
Hanuman the Brave | คําแหงหนุมานชาญสมร |
Saw the evil leech change into a cane | เห็นปลิงร้ายกลายเป็นธารกร |
Through the magic power of the sage. | ด้วยฤทธิรอนพระสิทธา |
It caused his hair to stand on end. | บันดาลขนพองสยองเกล้า |
He bowed down to has feet, left and right. | กราบลงแทบเท้าซ้ายขวา |
He praised his magic knowledge. | สรรเสริญกาลกิจวิทยา |
He entreated and begged forgiveness of the ascetic. | วอนขอสมาพระมุนี |
"You who are of such austerity. | พระองค์ผู้ทรงตบะฌาน |
I ask you to forgive the monkey. | ขอประทานโทษากระบี่ศรี |
May you live in happiness and peace. | ค่อยอยู่จําเริญสวัสดี |
I will take my leave." | ตัวของข้านี้จะลาไป |
Saying this, he showed his power. | ว่าแล้วสําแดงอํานาจ |
The earth and the air trembled. | พสุธาอากาศหวาดไหว |
เหาะทะยานผ่านขึ้นด้วยว่องไว | |
ตรงไปยังนิลกาลา ฯ | |
ฯ ๘ คํา ฯ เชิด | |
Click here for the picture |